พามาดู การเขียนโฆษณา เขาทำกันยังไง

การเขียนโฆษณา ด้วยโครงสร้าง PASTOR จากนักเขียนระดับโลก

การเขียนโฆษณา : เคล็ดลับในการสร้างข้อความโฆษณาที่ทรงพลังด้วย PASTOR Framework

วิธีใน การเขียนโฆษณา ให้ดึงดูดใจและกระตุ้นการตอบสนองจากกลุ่มเป้าหมายเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญที่นักการตลาดและนักเขียนโฆษณาจำเป็นต้องพัฒนา โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ทำการตลาดออนไลน์

เนื่องจากหลายคนไม่ค่อยมีพื้นฐานการเขียนโฆษณามาก่อน การเข้าใจหลักการและการมีโครงสร้างการเขียนที่ถูกต้องจะช่วยให้งานโฆษณาออนไลน์ไหลลื่นมากขึ้น การใช้สูตรการเขียนโฆษณาที่มีโครงสร้างชัดเจนจะช่วยให้เนื้อหาโดนใจผู้ชม สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีและปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมสูงคือ PASTOR Framework ที่คิดค้นโดย Ray Edwards นักเขียนโฆษณาชื่อดัง ซึ่งสูตรนี้ถูกออกแบบมาให้มีความครอบคลุมทุกแง่มุมในการเขียนข้อความโฆษณาที่กระตุ้นความสนใจและบรรลุเป้าหมายการขายได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน

ใช้ PASTOR Framework ใน การเขียนโฆษณา

PASTOR Framework คืออะไร?

คือโครงสร้างที่ประกอบด้วย 6 ส่วน โดยแต่ละส่วนมีเป้าหมายเฉพาะที่จะช่วยให้ข้อความโฆษณามีความกระชับ ครบถ้วน และตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โครงสร้างนี้เหมาะกับการแสดงข้อความที่ดึงดูดความสนใจและให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานเขียนโฆษณา Google Ads และ Facebook Ads ได้เป็นอย่างดี โครงสร้างนี้ถูกแบ่งออกตามตัวอักษรดังนี้:

  1. P: Problem (ปัญหา) – ระบุปัญหาของกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน
  2. A: Amplify (ขยาย) – เน้นย้ำถึงผลกระทบหากปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข
  3. S: Story and Solution (เรื่องราวและวิธีแก้ไข) – เล่าเรื่องที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายพร้อมนำเสนอวิธีแก้ไขปัญหา
  4. T: Transformation and Testimony (การเปลี่ยนแปลงและการรับรอง) – แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก พร้อมยกตัวอย่างคำรับรองจากลูกค้า
  5. O: Offer (ข้อเสนอ) – สร้างข้อเสนอที่น่าสนใจและดึงดูดให้ซื้อ
  6. R: Response (การตอบสนอง) – กระตุ้นให้ผู้อ่านดำเนินการทันที ในด้านการตลาดออนไลน์ การกระทำนี้อาจเรียกว่า ‘คอนเวอร์ชั่น’ ซึ่งเป็นการกระทำที่ต้องการหลังจากลูกค้าได้อ่านข้อความโฆษณา เช่น การคลิกปุ่มสั่งซื้อ การกรอกแบบฟอร์ม หรือการลงทะเบียน

เพื่อให้เข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างชัดเจน มาดูวิธีการเขียนข้อความโฆษณาตามโครงสร้าง PASTOR Framework 

P: Problem – ระบุปัญหา

การเริ่มต้นด้วยการระบุปัญหาจะทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกว่าโฆษณานี้กำลังพูดถึงความต้องการของเขาโดยตรง เนื่องจากลูกค้าสนใจเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเอง ดังนั้นการพูดถึงปัญหาที่เขากำลังพบอยู่ หรือเป็นปัญหาเกี่ยวกับการทำธุรกิจของเขา ข้อความโฆษณาจะเพิ่มโอกาสในการดึงดูดความสนใจของกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น

ที่สำคัญคือ เนื้อหาต้องสามารถเชื่อมโยงกับความรู้สึกหรือสถานการณ์ที่พวกเขากำลังเผชิญ เช่น หากกำลังโปรโมทผลิตภัณฑ์ครีมรักษาสิว ข้อความเปิดเรื่องสามารถเริ่มได้ดังนี้:

“คุณรู้สึกไม่มั่นใจเพราะปัญหาสิวที่ไม่ยอมหายไปใช่ไหม?”

การถามคำถามในลักษณะนี้กระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายหยุดอ่านและรู้สึกว่าเนื้อหานี้สร้างมาเพื่อเขา ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงความสนใจได้ดี

A: Amplify – ขยายปัญหา

ขั้นตอนนี้คือการเน้นย้ำถึงผลกระทบและความรุนแรงของปัญหานั้น การขยายปัญหาสามารถทำได้หลายแบบ เช่น ปัญหาที่กระทบไปสู่ส่วนอื่นๆ ของร่างกายหรือธุรกิจ ปัญหาที่กระทบไปสู่ครอบครัว เพื่อนฝูง หรือแม้กระทั่งกระทบภาพลักษณ์และจิตใจของตัวเอง

หากปล่อยไว้อาจส่งผลเชิงลบต่อผู้บริโภคได้อย่างไรบ้าง ทำให้พวกเขารู้สึกว่าจำเป็นต้องแก้ไขปัญหานี้ ตัวอย่างเช่น:

 “ปัญหาสิวไม่เพียงแค่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของคุณ แต่ยังทำให้คุณขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งในที่ทำงานและการออกสังคม”

การขยายผลกระทบของปัญหาช่วยสร้างแรงจูงใจในการแก้ไข เพราะการปล่อยให้ปัญหาดำเนินต่อไปอาจทำให้เกิดผลเสียมากขึ้น ซึ่งจะดึงความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

 S: Story and Solution – เล่าเรื่องและนำเสนอโซลูชั่น

ขั้นตอนนี้ต้องอาศัยประสบการณ์ในการผูกเรื่องราว โดยคุณควรเล่าเรื่องที่กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงได้ สร้างความเชื่อมโยงกับปัญหาที่พวกเขาเผชิญ และนำเสนอสินค้าหรือบริการของคุณเป็นวิธีแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดอย่างแนบเนียน

นอกจากนี้ การเชื่อมโยงเรื่องราวกับสินค้าไม่ควรดูเหมือนการโฆษณามากเกินไป เพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกเป็นธรรมชาติและเชื่อมต่อกับปัญหาของพวกเขาได้อย่างลึกซึ้ง เช่น:

“เรารู้ว่าการรักษาสิวที่ได้ผลจริงเป็นเรื่องยาก หลายคนลองใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาแล้วแต่ก็ไม่ดีขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่เราพัฒนาครีมรักษาสิวสูตรเฉพาะที่อ่อนโยนต่อผิว ช่วยลดการอักเสบและปรับสมดุลผิวหน้าได้ในเวลาอันรวดเร็ว”

การเล่าเรื่องราวจะช่วยให้โฆษณามีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น และการนำเสนอโซลูชั่นก็ช่วยให้ผู้ฟังเห็นความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหาของเขา

T: Transformation and Testimony – การเปลี่ยนแปลงและคำรับรอง

ขั้นตอนนี้เป็นการนำเสนอถึงผลลัพธ์ที่ผู้ใช้จะได้รับจากการใช้สินค้าหรือบริการของคุณ ควบคู่ไปกับการอ้างอิงถึงคำรับรองจากผู้ที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์ เพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ เนื่องจากลูกค้าไม่ได้เชื่อจากสิ่งที่แบรนด์บอก แต่เขาจะเชื่อในสิ่งที่คนอื่นๆ บอก ดังนั้นการแสดงข้อมูลการรีวิว หรือหลักฐานการรับรองจากสถาบันที่มีชื่อเสียง จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า เช่น:

“หลังจากใช้ครีมของเรา ผิวหน้าของคุณจะเรียบเนียนและกระจ่างใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ลูกค้าหลายคนของเรายืนยันผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมและกลับมาซื้อซ้ำ เพราะเขามั่นใจในคุณภาพของเรา”

การแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ รวมถึงการใช้คำรับรองช่วยให้ผู้ฟังมีความมั่นใจมากขึ้นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์

O: Offer – ข้อเสนอ

การเสนอข้อเสนอพิเศษ เช่น ส่วนลดหรือของแถมจะทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกคุ้มค่ามากยิ่งขึ้นและกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น ข้อความควรชัดเจน เช่น:

“สั่งซื้อวันนี้ รับส่วนลดพิเศษ 20% พร้อมของแถมสุดคุ้มเฉพาะผู้ที่สั่งซื้อในวันนี้เท่านั้น!”

ข้อเสนอที่ชัดเจนจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจง่ายขึ้น และทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีความคุ้มค่าในการลงมือสั่งซื้อ

R: Response – การตอบสนอง

ขั้นตอนสุดท้ายคือการกระตุ้นให้ผู้ฟังดำเนินการทันที โดยใช้คำแนะนำที่ชัดเจนว่าเขาต้องทำอะไรต่อไป ถ้าเป็นการตลาดออนไลน์ ขั้นตอนนี้คือการใช้ Call-to-action เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากระทำตามที่คุณต้องการ หรือถ้าเป็นในระบบ Google Ads ก็คือ ‘คอนเวอร์ชั่น’ นั่นเอง เช่น:

“อย่ารอช้า! คลิกที่นี่เพื่อสั่งซื้อเลย แล้วพบกับผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว”

การกระตุ้นให้ดำเนินการทันทีด้วยการใช้คำสั่งที่ชัดเจน เช่น “คลิกที่นี่” หรือ “สั่งซื้อเลย” จะช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุปการใช้ PASTOR Framework ใน การเขียนโฆษณา

PASTOR Framework เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเขียนโฆษณา ช่วยให้เนื้อหามีโครงสร้างที่ชัดเจน ครอบคลุมทุกจุดสำคัญที่จำเป็นในการปิดการขายและเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย การกระตุ้นให้ตระหนักถึงปัญหา การเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจและเชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ การสร้างความมั่นใจผ่านคำรับรอง การเสนอข้อเสนอที่ดึงดูดใจ และการกระตุ้นให้ดำเนินการอย่างชัดเจน

ยิ่งไปกว่านั้น การเข้าใจและนำโครงสร้างการเขียนโฆษณามาใช้ ส่งผลดีให้กับการทำโฆษณาออนไลน์ในปัจจุบัน เช่น การทำโฆษณา Google Ads และการเขียนแคปชั่นโฆษณา Facebook Ads ซึ่งต้องการความกระชับ ชัดเจน และสามารถดึงดูดความสนใจได้ในเวลาสั้นๆ  

การนำ PASTOR Framework ไปประยุกต์ใช้จะช่วยให้คุณสร้างข้อความโฆษณาที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น และบรรลุเป้าหมายทางการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ

คำแนะนำเพิ่มเติมในการเขียนโฆษณา

  1. เข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง – ก่อนที่จะเริ่มเขียนโฆษณา คุณจำเป็นต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายให้ลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม ความต้องการ หรือปัญหาที่พวกเขาเผชิญอยู่ การวิเคราะห์ลูกค้าอย่างละเอียดจะช่วยให้คุณสามารถเขียนข้อความที่เข้าถึงจิตใจและตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณอาจจะต้องจินตนาการว่าตัวเองเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หรือหาโอกาสไปสัมภาษณ์หาข้อมูลจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยตรง เพื่อเข้าใจมุมมองและปัญหาที่พวกเขาเผชิญอย่างแท้จริง
  2. ใช้ภาษาที่เรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ – โฆษณาที่มีประสิทธิภาพควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และไม่ควรใช้คำศัพท์ที่ซับซ้อนเกินไป การทำให้เนื้อหาดูเป็นธรรมชาติและเข้าถึงง่ายจะทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจและเป็นมิตร นอกจากนี้ การใช้คำพูดและภาษาตามกลุ่มเป้าหมายก็เป็นสิ่งสำคัญ เช่น ถ้าพูดเรื่องไอที ก็ควรจะมีศัพท์ไอทีที่กลุ่มเป้าหมายเข้าใจได้ดี หรือถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัยรุ่น ก็ต้องใช้คำศัพท์ที่วัยรุ่นใช้กัน จะช่วยให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้อ่านได้มากขึ้น
  3. เริ่มด้วยการสร้างความสนใจ – การเขียนโฆษณาที่ดีต้องสามารถดึงความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้ตั้งแต่ต้น เช่น การใช้คำถามที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของลูกค้า หรือการใช้สถิติที่น่าสนใจ เทคนิคเพิ่มเติมที่หลายคนใช้คือการทำให้ผู้อ่านสงสัยหรือรู้สึกแปลกใจ เพื่อดึงดูดความสนใจและกระตุ้นความอยากรู้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ชมสนใจและอ่านต่อจนจบ
  4. ใส่ความรู้สึกและอารมณ์ – การเพิ่มอารมณ์เข้าไปในเนื้อหาจะช่วยให้โฆษณาของคุณมีความน่าสนใจและมีความเชื่อมโยงกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น การใช้อารมณ์ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกถึงความใกล้ชิด และทำให้พวกเขามีความต้องการที่จะแก้ไขปัญหาที่โฆษณาของคุณนำเสนอ คำแนะนำคือใช้ความรู้สึกที่เป็นบวก เช่น ความรู้สึกดี สนุกสนาน หรือความหวัง จะดีกว่าการใช้อารมณ์เศร้า หรือความรู้สึกเชิงลบ เพราะอารมณ์ที่เป็นบวกสามารถกระตุ้นให้ลูกค้ามีแรงบันดาลใจและรู้สึกอยากมีส่วนร่วมได้มากกว่า
  5. ทดสอบและปรับปรุง – การทดสอบ A/B Test เป็นเทคนิคสำคัญในการปรับปรุงโฆษณาของคุณให้ดียิ่งขึ้น ลองทดสอบข้อความที่แตกต่างกันเพื่อดูว่าเวอร์ชันใดทำงานได้ดีกว่า และปรับปรุงตามผลลัพธ์ที่ได้ ขั้นตอนนี้คือสิ่งที่นักเขียนโฆษณาควรทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อการเรียนรู้และพัฒนางานเขียนของตัวเองอย่างต่อเนื่อง

บทความเพิ่มเติม: ถ้าคุณสนใจวิธีการเขียน โฆษณาติดหน้าแรก Google สามารถอ่านบทความได้ตามลิงก์นี้

 เกี่ยวกับเรา: เราคือ SMEJUMP เอเจนซี่โฆษณาออนไลน์  พวกเราเขียนโฆษณาทุกวันสำหรับการทำโฆษณาออนไลน์ เราพบว่าโครงสร้างโฆษณา PASTOR ช่วยพวกเราได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้เรายังได้รับตำแหน่ง Premier Google Partner ประจำประเทศไทย
ส่งข้อมูลถึงเรา

ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!

คุยกับเราทางไลน์

เพิ่มเพื่อน

ข้อมูลบริษัท

บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด 

79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240

เลขประจำตัวผู้เสียภาษี  0105556135494

Email: contact@smejump.com

Tel: 02-100-6872, 02-100-6873

LINE : @smejump

จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.

เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ