แนะนำ วิธีใช้คีย์เวิร์ด Google Ads สำหรับคนยิงแอด
วิธีใช้คีย์เวิร์ด Google Ads ที่คนยิงแอดควรเข้าใจก่อนทำโฆษณา
วิธีใช้คีย์เวิร์ด Google Ads : เลือกแบบไหนเหมาะกับแคมเปญโฆษณาของคุณ
พวกเรา SMEJUMP รับทำโฆษณา Google Ads และในวันนี้เราขอนำเสนอบทความเกี่ยวกับวิธีใช้คีย์เวิร์ด Google Ads ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้โฆษณาแสดงได้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและสร้างผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับการทำโฆษณา Google Ads ของคุณ
การใช้ Google Ads กลายเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะการทำโฆษณาแบบ PPC (Pay-Per-Click) ที่ทำให้ธุรกิจสามารถกำหนดงบประมาณและกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
จุดที่สำคัญคือ ความสำเร็จของโฆษณาขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ “คีย์เวิร์ด” ที่เหมาะสม ซึ่งคีย์เวิร์ดใน Google Ads แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ Broad Match, Phrase Match และ Exact Match ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจความหมายของแต่ละประเภท วิธีใช้งาน และแนะนำการใช้ Negative Keyword เพื่อให้โฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด
1. คีย์เวิร์ดประเภท Broad Match คืออะไร?
Broad Match หรือ การทำงานแบบกว้าง เป็นประเภทคีย์เวิร์ดที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุดใน Google Ads โดยระบบจะเลือกแสดงโฆษณาในกรณีที่มีคำที่เกี่ยวข้องหรือใกล้เคียงกับคีย์เวิร์ดที่เราตั้งไว้ คำที่แสดงในผลลัพธ์สามารถเป็นคำพ้อง คำสะกดผิด หรือคำที่มีความหมายใกล้เคียงกับคีย์เวิร์ดนั้นๆ ทำให้ช่วยเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขวางขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนไม่แนะนำให้มือใหม่เริ่มทำแคมเปญด้วยการใช้คีย์เวิร์ดรูปแบบนี้ เพราะจะทำให้โฆษณาแสดงกว้างเกินไป และหลายครั้งโฆษณาไปแสดงในคำที่ไม่ตรงกับความต้องการในการลงโฆษณา
ตัวอย่างการใช้ Broad Match: สมมติว่าเรากำหนดคีย์เวิร์ดเป็น รองเท้ากีฬา โดยไม่ต้องใส่สัญลักษณ์อะไรในคีย์เวิร์ด โฆษณาของเราอาจปรากฏเมื่อมีผู้ค้นหาคำว่า ซื้อรองเท้ากีฬา หรือแม้กระทั่ง รองเท้าสำหรับวิ่ง ซึ่งเป็นคำที่เกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกับคำหลัก และโฆษณาอาจจะไปแสดงในคำอื่นๆได้อีก เช่น ยี่ห้อรองเท้ากีฬา ร้านขายรองเท้ากีฬา เป็นต้น
ข้อดีของ Broad Match
– ช่วยเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างที่สุด เนื่องจากครอบคลุมคำที่ใกล้เคียงจำนวนมาก เหมาะสำหรับกรณีที่คุณไม่มีไอเดียว่าจะใช้คีย์เวิร์ดอะไร โดยเปิดให้ระบบทำการแสดงโฆษณาแบบกว้างเพื่อช่วยค้นหากลุ่มเป้าหมายที่มีความเกี่ยวข้อง
– เหมาะสำหรับการสร้าง Brand Awareness หรือการเพิ่มการเข้าถึงในช่วงแรกๆ ของการเริ่มทำโฆษณา
ข้อเสียของ Broad Match
– มีความเสี่ยงที่โฆษณาจะไปแสดงในคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ซึ่งอาจทำให้เปลืองงบประมาณในการโฆษณา ซึ่งในหลายกรณี งบโฆษณามีจำกัด ดังนั้นการใช้ Broad Match อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดี
2. คีย์เวิร์ดประเภท Phrase Match คืออะไร?
Phrase Match หรือ การทำงานแบบวลี เป็นประเภทคีย์เวิร์ดที่กำหนดให้โฆษณาแสดงผลเมื่อคำค้นหามีคีย์เวิร์ดหรือวลีที่เรากำหนดอยู่ครบถ้วนและตามลำดับ ซึ่งสามารถมีคำเพิ่มเติมข้างหน้าและข้างหลังได้ แต่ต้องไม่แทรกกลางคำคีย์เวิร์ดที่เราเลือกไว้
คีย์เวิร์ดตัวนี้ เป็นรูปแบบคีย์เวิร์ดที่แนะนำให้ใช้สำหรับทั้งมือใหม่และผู้ที่ลงโฆษณาในการประมูลแบบคลิก เนื่องจากช่วยควบคุมให้โฆษณาแสดงผลในคำค้นหาที่เกี่ยวข้องและมีความเจาะจงมากขึ้น
ตัวอย่างการใช้ Phrase Match: หากเราตั้งคีย์เวิร์ดเป็น “ร้านกาแฟใกล้ฉัน” ให้ใส่สัญลักษณ์ “…” ครอบคีย์เวิร์ดเพื่อบอกระบบว่า เป็นคีย์เวิร์ดการทำงานแบบวลี โฆษณาของเราจะปรากฏเมื่อมีการค้นหาเช่น ร้านกาแฟใกล้ฉันเปิดใหม่ หรือ ร้านกาแฟใกล้ฉันที่นั่งดี ซึ่งเป็นคำค้นหาที่มีวลี ร้านกาแฟใกล้ฉัน ครบถ้วนและตามลำดับ แต่คำอื่นที่ใส่เพิ่มจะต้องอยู่ข้างหน้าและข้างหลังเท่านั้น หรือมีคำที่มีความหมายคล้ายกัน
ข้อดีของ Phrase Match
– ช่วยให้โฆษณาแสดงในกลุ่มคำที่เจาะจงมากขึ้น ทำให้ลดความเสี่ยงของการแสดงผลในคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้อง สำหรับแคมเปญที่การเสนอประมูลเป็นแบบคลิก รูปแบบคีย์เวิร์ด Phrase Match เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
เนื่องจากสามารถควบคุมการแสดงผลโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดโอกาสในการแสดงในคำค้นหาที่ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
– เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายที่มีคำค้นหาเฉพาะเจาะจง
ข้อเสียของ Phrase Match
– จำกัดการเข้าถึงได้ในบางกรณี เมื่อคำค้นหาที่ลูกค้าพิมพ์ไม่ตรงกับคีย์เวิร์ด หรือบางครั้งคำที่คล้ายกัน โฆษณาก็อาจจะไม่แสดง เมื่อเทียบกับคีย์เวิร์ดการทำงานแบบกว้าง อย่างไรก็ตาม ในเคสส่วนใหญ่ ถ้างบโฆษณาต่อวันไม่มาก เช่น 300-1,000 บาท คีย์เวิร์ดการทำงานแบบวลียังถือว่าเหมาะสมที่สุด
3. คีย์เวิร์ดประเภท Exact Match คืออะไร?
Exact Match หรือ การทำงานแบบตรงทั้งหมด เป็นประเภทคีย์เวิร์ดที่แสดงโฆษณาเมื่อคำค้นหาตรงกับคีย์เวิร์ดที่เรากำหนดไว้แบบเป๊ะๆ โดยไม่มีคำอื่นมาแทรกหรือเปลี่ยนแปลงลำดับคำ คำที่เกี่ยวข้องอย่างคำพ้องที่มีความหมายตรงกันหรือคำสะกดผิดเล็กน้อยอาจยังคงแสดงผลได้ คีย์เวิร์ดรูปแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วผู้เขียนจะเลือกใช้ในบางกรณีเท่านั้น เช่น คีย์เวิร์ดที่มีค่าคลิกสูง แต่เราต้องการจะแสดงโฆษณา
ดังนั้นเราจะจำกัดการแสดงโฆษณาให้มากที่สุด โดยบังคับให้ระบบแสดงโฆษณาเฉพาะคีย์เวิร์ด Exact Match เท่านั้น
ตัวอย่างการใช้ Exact Match: หากกำหนดคีย์เวิร์ดเป็น [บริการทำความสะอาดบ้าน] จะใส่สัญลักษณ์ [..] ครอบตัวคีย์เวิร์ด โฆษณาของเราจะแสดงเฉพาะเมื่อมีการค้นหาด้วยคำว่า “บริการทำความสะอาดบ้าน” เท่านั้น การค้นหาเช่น “บริการทำความสะอาดบ้านด่วน” หรือ “บริการทำความสะอาดบ้านในกรุงเทพ” จะไม่ทำให้โฆษณาปรากฏ
ข้อดีของ Exact Match
– ช่วยลดการแสดงโฆษณาในคำค้นหาที่ไม่ตรงกับความต้องการของผู้ลงโฆษณาได้ดี
– เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีเจตนาตรงกับสินค้าและบริการที่เราต้องการขาย
ข้อเสียของ Exact Match
– ลดการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่อาจสนใจได้ เนื่องจากการแสดงผลจะแคบลงมาก
– อาจไม่เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่หรือกลุ่มที่กว้างขึ้น
4. การใช้ Negative Keyword ใน Google Ads
Negative Keyword หรือคีย์เวิร์ดเชิงลบ คือ คีย์เวิร์ดที่เราไม่ต้องการให้โฆษณาแสดงเมื่อมีการค้นหาด้วยคำเหล่านี้ การใช้ Negative Keyword ช่วยกรองคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป ทำให้โฆษณาของเราแสดงเฉพาะในคำที่เกี่ยวข้องและตรงกับกลุ่มเป้าหมายเท่านั้น
โดยปกติแล้ว ผู้เขียนจะทำการตรวจสอบและปรับปรุงคีย์เวิร์ดเชิงลบทุกๆ 7 วันให้กับแคมเปญโฆษณาของลูกค้า เพื่อกำจัดการแสดงโฆษณาที่ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และเพื่อเลี่ยงการเสียค่าคลิกไปกับคำที่ไม่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างการใช้ Negative Keyword: หากธุรกิจของเราเป็น ร้านขายเสื้อผ้าผู้หญิง เราสามารถตั้ง Negative Keyword เช่น -[เสื้อผ้าผู้ชาย] หรือ -[เสื้อผ้าเด็ก] เพื่อป้องกันไม่ให้โฆษณาของเราแสดงในคำค้นหาที่ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย โดยการใส่สัญลักษณ์ – เครื่องหมายลบเอาไว้ที่คีย์เวิร์ดที่ต้องการทำ Negative
ข้อดีของ Negative Keyword
– ช่วยลดการเสียค่าโฆษณาจากคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้อง
– เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณและให้โฆษณาแสดงในคำค้นหาที่มีคุณภาพมากขึ้น การทำคีย์เวิร์ดเชิงลบ จะช่วยทำให้อัตราการคลิกที่โฆษณา หรือ CTR มีเปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้คะแนนคุณภาพของแคมเปญโฆษณาดีขึ้นอีกด้วย
– ทำให้โฆษณามีโอกาสปรากฏในคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจมากขึ้น
คำแนะนำในการใช้คีย์เวิร์ด Google Ads ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
1. ศึกษาและวิเคราะห์คำค้นหาของกลุ่มเป้าหมาย
การวิเคราะห์และทำความเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายมีพฤติกรรมการค้นหาอย่างไร ช่วยให้คุณเลือกประเภทคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น คุณสามารถศึกษาคีย์เวิร์ดได้จากเครื่องมือ Keyword Planner ในระบบ Google Ads เพื่อดูจำนวนการค้นหา และราคาค่าคลิกเบื้องต้น ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญให้คุณใช้ตัดสินใจในการเลือกคีย์เวิร์ดสำหรับการทำโฆษณา
2. เลือกประเภทคีย์เวิร์ดให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแคมเปญ
สำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างการรับรู้ (Awareness) อาจเลือกใช้ Broad Match แต่ถ้าต้องการการแปลงยอดขาย (Conversion) อาจเน้น Phrase Match หรือ Exact Match ที่เจาะจงและตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่า หรือสำหรับผู้ที่ทำ Google Ads ขั้นสูง และสามารถทำ Conversion ได้แล้ว อาจจะทดลองใช้ Broad Match ควบคู่กับ แคมเปญที่เป็น Conversion ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ทีมงาน Google Ads แนะนำให้ทดลองใช้
3. ตั้งค่า Negative Keyword อย่างระมัดระวัง
การกรองคำที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปสามารถช่วยลดการเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ตัวอย่างเช่น หากคุณขายรองเท้ากีฬา ก็อาจตั้ง Negative Keyword เป็น “รองเท้าทางการ” หรือ “รองเท้าผู้หญิง” (ถ้าไม่ได้ขายรองเท้าผู้หญิง) เพื่อลดการแสดงโฆษณาในคำค้นหาที่ไม่ตรงเป้าหมาย โดยการทำ Negative Keyword ควรทำอย่างสม่ำเสมอ ทุกๆ 7 วัน หรือ 14 วัน เพื่อช่วยปรับแต่งโฆษณาให้แสดงตรงกลุ่มเป้าหมาย วิธีการนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Google Ads Optimization ที่ผู้เขียนแนะนำให้ทำ
4. ทดสอบและปรับปรุงแคมเปญอย่างสม่ำเสมอ
การทดสอบรูปแบบคีย์เวิร์ดต่างๆ และติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญอย่างต่อเนื่องช่วยให้เราสามารถปรับปรุงและเลือกประเภทคีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพที่สุด
5. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์จาก Google Ads เพื่อปรับปรุงคีย์เวิร์ด
Google Ads มีเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์และปรับแต่งคีย์เวิร์ด เช่น Keyword Planner ที่สามารถใช้เพื่อสำรวจคำค้นหาที่ผู้ใช้มักจะใช้ ซึ่งจะช่วยให้เราเลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น หรืออาจจะใช้เครื่องอย่างเช่น Ubersuggest ก็เป็นเครื่องมือยอดนิยมของนักการตลาดออนไลน์
บทสรุป: วิธีใช้คีย์เวิร์ด Google Ads
การเลือกใช้คีย์เวิร์ดใน Google Ads อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเข้าใจในประเภทของคีย์เวิร์ดที่มีให้เลือกใช้งาน ได้แก่ Broad Match, Phrase Match และ Exact Match แต่ละประเภทมีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกัน การเลือกใช้คีย์เวิร์ดให้ถูกต้อง เป็นวิธีที่ช่วยควบคุมให้โฆษณาไปแสดงในกลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสม ผู้เขียนแนะนำให้เริ่มจากการเลือกใช้คีย์เวิร์ด Phrase Match ก่อน แล้วค่อยๆ ปรับแต่งโฆษณาตามผลลัพธ์ที่ได้รับ การเลือกใช้ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้แคมเปญของเราสามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีคุณภาพได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การใช้ Negative Keyword ยังช่วยกรองคำที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป ทำให้เราสามารถประหยัดงบประมาณและเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณาได้อย่างมาก
ส่งข้อมูลถึงเรา
ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!
คุยกับเราทางไลน์
ข้อมูลบริษัท
บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด
79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240
เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0105556135494
Email: contact@smejump.com
Tel: 02-100-6872, 02-100-6873
LINE : @smejump
จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.
เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ