วิธีป้องกันเพจ Facebook ถูกแฮก

ข้อดีของ Meta Verified for Business และ วิธีป้องกันเพจ Facebook จากการถูกแฮก

วิธีป้องกันเพจ Facebook ถูกแฮก และ ข้อดีของ Meta Verified

ในยุคดิจิทัลที่ธุรกิจและความสัมพันธ์ทางสังคมต่างขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มออนไลน์ Facebook เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญสำหรับการสื่อสารและการตลาด อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการถูกแฮกเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง

SMEJUMP รับทำโฆษณา Facebook Ads เราขอนำเสนอบทความนี้ เพื่อแนะนำวิธีการป้องกันเพจ Facebook จากการถูกแฮกอย่างละเอียด พร้อมกับข้อดีของ Meta Verified และคำแนะนำเกี่ยวกับการสมัคร Meta Verified


7 วิธีป้องกันเพจ Facebook จากการถูกแฮก

1. ตั้งรหัสผ่านที่ยาว ตัวอักษรหลากหลาย และเปลี่ยนเป็นระยะๆ

รหัสผ่านที่ดีควรประกอบด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ ตัวอักษรพิมพ์เล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษ นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้รหัสผ่านเดียวกันกับบัญชีอื่นๆ และเปลี่ยนรหัสผ่านทุก 3-6 เดือนเพื่อความปลอดภัย ตัวอย่างรหัสผ่านที่ไม่ควรตั้งและคนนิยมใช้บ่อยได้แก่:

  • 123456 หรือ 123456789
  • password หรือ Password123
  • qwerty หรือ asdfgh
  • ชื่อของคุณเอง เช่น john123
  • วันเกิดหรือปีเกิด เช่น 1990 หรือ 01/01/1990

2. เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนแบบสองชั้น (Two-Factor Authentication)

การเปิดใช้งาน 2FA จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยโดยการต้องยืนยันตัวตนผ่านรหัส OTP หรือแอปพลิเคชัน เช่น Google Authenticator นอกจากรหัสผ่าน วิธีใช้งาน 2FA มีดังนี้:

  1. เข้าไปที่การตั้งค่าความปลอดภัยในบัญชี Facebook ของคุณ
  2. เลือกเปิดใช้งาน “การยืนยันตัวตนแบบสองชั้น”
  3. เลือกวิธีการยืนยัน เช่น รับรหัสผ่าน OTP ผ่าน SMS หรือใช้แอป Google Authenticator
  4. ปฏิบัติตามขั้นตอนเพื่อเชื่อมโยงบัญชีของคุณกับวิธีการยืนยันที่เลือก
  5. เก็บรหัสสำรอง (Backup Codes) ไว้ในที่ปลอดภัยสำหรับกรณีที่คุณไม่สามารถเข้าถึงวิธีการยืนยันได้

ข้อดีของ 2FA

  • เพิ่มความปลอดภัย: แม้แฮกเกอร์จะรู้รหัสผ่านของคุณ แต่ก็ไม่สามารถเข้าสู่บัญชีได้หากไม่มีการยืนยันขั้นที่สอง
  • ลดความเสี่ยงจากการโจมตีแบบฟิชชิง: การใช้รหัส OTP หรือแอปยืนยันจะช่วยป้องกันการเข้าถึงบัญชีที่ไม่ได้รับอนุญาต
  • เหมาะกับการใช้งานในหลายอุปกรณ์: รองรับการยืนยันตัวตนในอุปกรณ์ต่างๆ อย่างราบรื่น
  • ใช้งานง่ายและสะดวก: การตั้งค่าทำได้ง่ายและช่วยเพิ่มความอุ่นใจให้กับผู้ใช้

3. จำกัดการเข้าถึงของแอดมินและกำหนดสิทธิ์อย่างเหมาะสม

การเพิ่มแอดมินหรือ Editor ในเพจ ควรเลือกบุคคลที่ไว้ใจได้และกำหนดบทบาทที่เหมาะสม เช่น ให้สิทธิ์ Editor หรือ Moderator เท่าที่จำเป็น เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกบุกรุกผ่านบัญชีของแอดมิน นอกจากนี้ ควรแต่งตั้งแอดมินอย่างน้อย 2 คนขึ้นไปในการดูแลเพจ เนื่องจากถ้าบัญชีแอดมินคนหนึ่งมีปัญหา ยังมีแอดมินสำรองอีกหนึ่งคนในการแก้ปัญหาต่างๆ ในเพจ

4. อัปเดตซอฟต์แวร์และอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ

การใช้อุปกรณ์ที่ล้าสมัยหรือซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้อัปเดต อาจทำให้คุณตกเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเบราว์เซอร์ แอป Facebook และระบบปฏิบัติการของคุณเป็นเวอร์ชันล่าสุด ถ้าคุณใช้คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊ก ควรติดตั้งโปรแกรม Antivirus ที่สามารถตรวจจับลิงก์ปลอมหรือโปรแกรมน่าสงสัยต่างๆ ได้ หากเป็นมือถือ ควรติดตั้งเฉพาะแอปที่จำเป็น และหลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปที่ไม่รู้จักหรือแอปที่ไม่ได้ผ่าน Apple Store หรือ Play Store

5. ระมัดระวังการคลิกลิงก์แปลกปลอม

ลิงก์ที่ดูน่าสงสัย เช่น ข้อความที่อ้างว่าคุณถูกรางวัล หรือให้คุณอัปเดตข้อมูลบัญชี ควรหลีกเลี่ยง คลิกเฉพาะลิงก์ที่มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น ลิงก์น่าสงสัยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นรูปแบบ short link ที่เราไม่สามารถเห็น URL ที่แท้จริงของพวกเขาได้ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการถูกล่อลวง

6. ตรวจสอบกิจกรรมที่ผิดปกติในบัญชี

Facebook มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณตรวจสอบการเข้าสู่ระบบ หากคุณพบการเข้าสู่ระบบจากอุปกรณ์หรือสถานที่ที่ไม่รู้จัก ให้รีบเปลี่ยนรหัสผ่านและตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัย ควรกำหนดการแจ้งเตือน (Notification) ในบัญชี Facebook ของคุณ โดยใช้อีเมล์ที่คุณเข้าถึงอยู่เป็นประจำ เพื่อจะได้เห็นข้อมูลผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้น

7. หลีกเลี่ยงการใช้ Wi-Fi สาธารณะในการเข้าสู่ระบบ

Wi-Fi สาธารณะมีความเสี่ยงต่อการถูกดักจับข้อมูล หากจำเป็นต้องใช้ ควรเชื่อมต่อผ่าน VPN เพื่อเพิ่มความปลอดภัย VPN (Virtual Private Network) คือระบบที่ช่วยสร้างการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่ายส่วนตัว โดยการเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่าน ทำให้บุคคลภายนอกไม่สามารถดักจับหรือเข้าถึงข้อมูลได้อย่างง่ายดาย

การใช้ VPN มีความปลอดภัยเพราะ:

  • การเข้ารหัสข้อมูล: VPN จะเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมดที่ส่งผ่านเครือข่าย ลดความเสี่ยงจากการถูกดักฟัง
  • การปิดบังตำแหน่งที่แท้จริง: VPN จะซ่อน IP Address ของคุณ ทำให้ไม่สามารถติดตามตำแหน่งได้ง่าย
  • เพิ่มความปลอดภัยบน Wi-Fi สาธารณะ: ช่วยลดโอกาสที่แฮกเกอร์จะโจมตีคุณผ่านเครือข่าย Wi-Fi

คำแนะนำในการใช้ VPN:

  1. เลือกผู้ให้บริการ VPN ที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น NordVPN, ExpressVPN หรือ ProtonVPN
  2. หลีกเลี่ยง VPN ฟรีที่ไม่ได้รับการรับรอง เพราะอาจขายข้อมูลของคุณให้บุคคลที่สาม
  3. ตั้งค่าการเชื่อมต่อ VPN ให้ทำงานอัตโนมัติเมื่อใช้เครือข่าย Wi-Fi สาธารณะ

Meta Verified for Business คืออะไร?

Meta Verified for Business เป็นบริการที่ Facebook และ Instagram เปิดตัวเพื่อช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือให้กับบัญชีผู้ใช้งาน โดยผู้ใช้ที่สมัคร Meta Verified จะได้รับเครื่องหมาย “Verified Badge” (สัญลักษณ์เครื่องหมายถูกสีฟ้า) ที่แสดงว่าบัญชีนั้นได้รับการยืนยันว่าเป็นบัญชีที่แท้จริง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับเพจ และสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า แต่มีค่าใช้จ่ายรายเดือนที่จะต้องเสียเงิน ตามแพ็คเกจที่เลือก อ่านข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับ Meta Verfied คืออะไร

ข้อดีของ Meta Verified for Business

  1. เพิ่มความน่าเชื่อถือ: ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ติดตามว่าบัญชีของคุณเป็นบัญชีจริง
  2. ป้องกันการปลอมแปลงบัญชี: ลดความเสี่ยงจากผู้ไม่หวังดีที่พยายามปลอมแปลงบัญชี
  3. การสนับสนุนแบบพิเศษ: ได้รับการช่วยเหลือโดยตรงจากทีมงาน Meta หากพบปัญหาเกี่ยวกับบัญชี ข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากเมื่อเพจของเรามีปัญหา โดยปกติ การช่วยเหลือจาก Facebook จะไม่ค่อยชัดเจนและใช้เวลานานพอสมควร การสมัคร Meta Verified คาดว่าจะได้รับการช่วยเหลือที่เฉพาะทางและเร็วกว่าช่องทางปกติ
  4. ฟีเจอร์พิเศษ: ผู้ใช้ Meta Verified จะได้รับสิทธิพิเศษ เช่น การเพิ่มการเข้าถึงโพสต์ไปยังผู้ติดตามมากขึ้น

ใครควรสมัคร Meta Verified และใครไม่ควรสมัคร?

ใครควรสมัคร Meta Verified:

การสมัคร Meta Verified for Business จะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ $14.99 ต่อเดือนขึ้นไป ตามแพ็คเกจที่เลือก ดังนั้นผู้ที่ควรจะสมัคร ก็อาจจะต้องเปรียบเทียบประโยชน์ที่จะได้รับ และค่าใช้จ่ายที่จะต้องเกิดขึ้นในแต่ละเดือน

  • นักธุรกิจและนักการตลาด: ที่ต้องการเพิ่มความน่าเชื่อถือและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า
  • บุคคลสาธารณะ: เช่น นักแสดง นักกีฬา หรืออินฟลูเอนเซอร์ ที่มักตกเป็นเป้าหมายของการปลอมแปลงบัญชี
  • ผู้ใช้ที่มีเพจหรือบัญชีสำคัญ: เช่น ร้านค้าออนไลน์ ที่ต้องการปกป้องแบรนด์ของตน

ใครไม่ควรสมัคร Meta Verified:

  • ผู้ใช้ทั่วไป: ที่ไม่ใช้งานบัญชีในเชิงธุรกิจหรือไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกปลอมแปลงบัญชี
  • ผู้ที่มองหาบริการฟรี: เนื่องจาก Meta Verified มีค่าใช้จ่ายรายเดือน ผู้ใช้ที่ไม่ต้องการจ่ายเงินอาจพิจารณาแค่การตั้งค่าความปลอดภัยพื้นฐาน สำหรับผู้ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อาจจะลองหาวิธีในการทำให้เพจปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ในบทความนี้ เรานำเสนอหลายวิธีที่จะช่วยทำให้เพจ Facebook ปลอดภัยมากขึ้น

วิธีรู้ว่าอีเมลหรือลิงก์ที่ได้รับมาคือของแฮกเกอร์

ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของ Hacker ส่วนใหญ่มาจากการที่ได้รับอีเมล์แจ้งเตือน ซึ่งดูเหมือนเป็นทางการมาจาก Facebook คนร้ายได้ใช้โลโก้ ข้อความ แม้กระทั่งชื่ออีเมล์ ที่ดูเหมือนมาจาก Facebook ทำให้หลายคนหลงเชื่อ และคลิกไปที่ลิงก์ปลอม และถูก hack ข้อมูล user และ password

1. ตรวจสอบที่อยู่ผู้ส่งอีเมล

อีเมลจาก Facebook มักจะส่งมาจากโดเมน @facebookmail.com หากอีเมลมีโดเมนที่น่าสงสัย เช่น @gmail.com หรือ @yahoo.com ควรหลีกเลี่ยง เมื่อได้รับอีเมล์ ควรกดดูชื่ออีเมล์ที่แท้จริงจากช่อง From ในระบบอีเมล์ เพราะ Hacker มัก rename ชื่ออีเมล์เพื่อหลอกลวงแหล่งที่มา ดังนั้นควรเปิดดูชื่ออีเมล์อย่างละเอียด

2. ระวังข้อความที่กดดันให้ตอบสนองทันที

ข้อความที่มีลักษณะข่มขู่หรือกดดัน เช่น “หากคุณไม่คลิกภายใน 24 ชั่วโมง บัญชีของคุณจะถูกระงับ” มักเป็นกลลวงของแฮกเกอร์ โดยปกติ Facebook จะไม่ส่งแจ้งเตือนถ้าเพจถูกระงับ หรือมีปัญหา ดังนั้นข้อความที่มีลักษณะข่มขู่หรือกดดัน เกือบทั้งหมดมาจาก Hacker

3. หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลส่วนตัวผ่านลิงก์

Facebook จะไม่ขอรหัสผ่านหรือข้อมูลส่วนตัวผ่านลิงก์ในอีเมล หากอีเมลใดขอข้อมูลเหล่านี้ ให้สงสัยว่าเป็นการหลอกลวง ถ้าคุณได้รับอีเมล์ หรือลิงก์ซึ่งจะต้องใส่ user name และ password ขอให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า เป็นการหลอกลวงจาก Hacker

4. ตรวจสอบ URL ของลิงก์

ก่อนคลิกลิงก์ ให้เลื่อนเมาส์ไปเหนือ URL เพื่อดูว่าเป็นลิงก์ของเว็บไซต์ทางการหรือไม่ หากลิงก์มีตัวสะกดผิดหรือดูไม่ปลอดภัย เช่น www.faceb00k.com ให้หลีกเลี่ยง คล้ายกับการตรวจสอบชื่ออีเมล์ Hacker มักตั้งชื่อ URL ที่ดูคล้าย หรือเสมือนเป็นองค์กรที่น่าเชื่อถือ

5. ใช้ฟีเจอร์ “Report Phishing”

Facebook มีฟีเจอร์ที่ให้ผู้ใช้รายงานอีเมลหรือข้อความหลอกลวง คุณสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Phishing บน Facebook เมื่อคุณพบการหลอกลวงบนหน้าเพจ สามารถแจ้ง Report Phishing ได้ทันที โดยทำตามขั้นตอนดังนี้:

  1. ไปที่โพสต์หรือลิงก์ที่คุณสงสัยว่าหลอกลวงบนหน้าเพจของคุณ
  2. คลิกที่จุดสามจุด (เมนูเพิ่มเติม) บริเวณมุมขวาบนของโพสต์
  3. เลือก “รายงานโพสต์” หรือ “Report Post”
  4. ระบุเหตุผลว่าเป็น “การหลอกลวง” หรือ “ฟิชชิง”
  5. กดส่งคำร้องเพื่อแจ้งปัญหาไปยังทีมงาน Facebook

การแจ้งปัญหาเหล่านี้ช่วยลดการแพร่กระจายของเนื้อหาหลอกลวง และช่วยปกป้องผู้ใช้อื่นในแพลตฟอร์ม


สรุป: วิธีป้องกันเพจ Facebook ถูกแฮก

การป้องกันเพจ Facebook จากการถูกแฮกเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม การตั้งค่าความปลอดภัยที่แข็งแกร่งและการใช้งาน Meta Verified for Business จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ติดตามของคุณ หากคุณใช้งาน Facebook เพื่อธุรกิจหรือเป็นบุคคลสาธารณะ การสมัคร Meta Verified อาจเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แต่อย่าลืมว่าความระมัดระวังในการใช้งานทุกวันยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ส่งข้อมูลถึงเรา

ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!

    ชื่อ-สกุล
    มือถือ
    E-Mail
    ข้อความ


    คุยกับเราทางไลน์

    เพิ่มเพื่อน

    ข้อมูลบริษัท

    บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด 

    79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240

    เลขประจำตัวผู้เสียภาษี  0105556135494

    Email: contact@smejump.com

    Tel: 02-100-6872, 02-100-6873

    LINE : @smejump

    จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.

    เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ