เปรียบเทียบ Google Ads กับ Facebook Ads อันไหนดีกว่ากัน

Google Ads กับ Facebook Ads อันไหนดีกว่ากัน มาดูเลย

ทำโฆษณา Google Ads กับ Facebook Ads อันไหนดีกว่ากัน

Google Ads กับ Facebook Ads อันไหนดีกว่ากัน? เป็นคำถามที่ถูกถามบ่อยในยุคที่ธุรกิจส่วนใหญ่หันมาทำโฆษณาออนไลน์ในการเพิ่มยอดขาย และขยายฐานลูกค้า การเลือกแพลตฟอร์มสำหรับการทำโฆษณาออนไลน์เป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับเจ้าของธุรกิจ SME และยังปัจจัยความสำเร็จในการทำการตลาดออนไลน์ โดยเฉพาะเมื่อมีตัวเลือกหลักอย่าง Google Ads และ Facebook Ads ซึ่งทั้งสองแพลตฟอร์มมีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกัน คำถามคือ ธุรกิจ SME ของคุณควรเลือกใช้แพลตฟอร์มไหน หรือควรใช้ทั้งสองตัวร่วมกัน? SMEJUMP บริษัทรับทำการตลาดออนไลน์ เราขอนำเสนอบทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงข้อดี ข้อเสีย และวิธีการเลือกใช้งานที่เหมาะสมที่สุดในปี 2025

จุดเด่นของ Google Ads และ Facebook Ads

Google Ads: โฟกัสที่ Intent-Based Marketing

Google Ads เน้นการตลาดที่ตอบโจทย์ความตั้งใจ หรือความต้องการของผู้ใช้งาน (Intent-Based Marketing) ซึ่งหมายความว่าผู้ที่เห็นโฆษณามักจะเป็นคนที่กำลังมองหาสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องโดยตรง โดยการค้นหาข้อมูลบน Google ตัวอย่างเช่น หากคุณขายรองเท้าวิ่งและมีคนค้นหาคำว่า “รองเท้าวิ่งมาราธอน” ผู้ที่ค้นหาคำนี้ก็น่าจะมีแนวโน้มสูงในการซื้อสินค้า ดังนั้นโอกาสในการซื้อ หรืออัตราการเกิดคอนเวอร์ชั่น (Conversion Rate) ของโฆษณา Google Ads จึงมักสูงกว่าโฆษณา Facebook Ads และโฆษณาบนแพลตฟอร์มอื่นๆ

นอกจากโฆษณาบนหน้าค้นหาแล้ว Google Ads ยังสามารถสร้างโฆษณาหลากหลายรูปแบบ เช่น:

– Search Ads: โฆษณาบนผลการค้นหา
– Display Ads: โฆษณาบนเว็บไซต์พันธมิตร เช่น เว็บไซต์ไทยรัฐ เดลินิวส์ sanook
– YouTube Ads: วิดีโอโฆษณาแสดงแทรกวิดีโอ YouTube ในช่องต่างๆ
– Ads on Applications: โฆษณาบนแอปพลิเคชันต่างๆ บนสมาร์ทโฟน
– Ads on Google Map: โฆษณาแสดงบน Google Map

โฆษณาเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถกระจายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ในวงกว้าง และหลากหลายช่องทาง ซึ่งอาจจะใช้ในการทำโฆษณาส่งเสริมโฆษณาหลักที่คุณทำอยู่ในฝั่ง Facebook Ads

Facebook Ads: การสร้างความสนใจด้วย Interest-Based Marketing

Facebook Ads มุ่งเน้นการเจาะกลุ่มเป้าหมายโดยใช้ข้อมูลความสนใจ พฤติกรรม และไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน Facebook (Interest-Based Marketing) แพลตฟอร์มนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้างภาพลักษณ์ธุรกิจ สร้างความต้องการ และกระตุ้นความอยากซื้อผ่านโฆษณาในรูปแบบทั้งรูปภาพและวิดีโอ โดยเฉพาะสินค้าที่ขายด้วยภาพ ตัวอย่างเช่น การขายสินค้าแฟชั่นหรือของตกแต่งบ้านที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายอาจไม่ได้รู้ว่าต้องการ แต่เกิดความสนใจขึ้นทันทีที่เห็นโฆษณาที่ดึงดูดสายตา หรือแสดงวิธีแก้ปัญหาที่พวกเขาพบอยู่

นอกจากนี้ Facebook ยังเป็นเครื่องมือที่ดีกว่า Google ในการสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) เพราะสามารถเข้าถึงผู้ใช้งานได้กว้าง หลากหลาย และยังสามารถเลือกกลุ่มคนในเชิงลึกได้มากกว่า Google Ads

สินค้าหรือธุรกิจที่เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์ม

เหมาะกับ Google Ads

1. สินค้าจำเป็นที่ต้องการทันที ผู้พิมพ์คำค้นหากำลังประสบปัญหาอยู่ เช่น บริการรถลาก, เปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์, บริการกำจัดปลวกใกล้ฉัน
– ลูกค้าจะค้นหาคีย์เวิร์ดเหล่านี้ใน Google เมื่อมีความจำเป็น ต้องการวิธีแก้ปัญหากับสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่
2. สินค้าเฉพาะเจาะจง เช่น เครื่องจักรอุตสาหกรรม, บริการของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น บริการด้านกฎหมาย, การทำกายภาพบำบัด, คอร์สอบรมต่างๆ
– เหมาะกับคำค้นหาที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะทำการค้นหา เพื่อหาข้อมูลเชิงลึก และเปรียบเทียบ ผู้ค้นหามักมีแนวโน้มจะตัดสินใจซื้อในอนาคตอันใกล้
3. ธุรกิจบริการที่ยากในการนำเสนอด้วยภาพหรือวิดีโอบน Facebook ในบางธุรกิจการนำเสนอเนื้อหาด้วยโพสต์ภาพ หรือวิดีโอ อาจจะทำได้ยาก กลุ่มลูกค้าเป้าหมายคาดหวังที่จะเห็นข้อมูลเชิงลึก และเว็บไซต์ที่เป็นทางการ ดังนั้นการทำโฆษณาบน Google Ads อาจจะเหมาะสมกว่า เช่น บริการตอกเสาเข็ม, บริการที่ปรึกษา HR, การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับ ISO สำหรับธุรกิจอุตสาหกรรม

เหมาะกับ Facebook Ads

1. สินค้าไลฟ์สไตล์ สามารถแสดงจุดขายด้วยรูปภาพและวิดีโอ เช่น เสื้อผ้า, แกดเจ็ต, ของตกแต่งบ้าน
– สินค้าประเภทนี้ต้องการการนำเสนอที่สร้างอารมณ์และความต้องการ โฆษณารูปแบบภาพและวิดีโอบน Facebook มีประสิทธิภาพมากกว่า เช่น สินค้าแกดเจ็ต นำเสนอด้วยวิดีโอแสดงฟีเจอร์ต่างๆ ในการใช้งาน หรือของตกแต่งบ้าน แสดงภาพก่อนและหลังการตกแต่งด้วยสินค้า
2. ธุรกิจที่เน้นการสร้างแบรนด์
– จุดเด่นที่สำคัญของ Facebook คือ ช่วยสร้างการจดจำ และแสดงในกลุ่มเป้าหมายกว้างๆ ได้ดี และยังมีแคมเปญโฆษณาที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะในการสร้างแบรนด์ เช่น Reach และ Brand Awareness Campaign

ลักษณะของกลุ่มเป้าหมายบนแต่ละแพลตฟอร์ม

Google Ads

ผู้ใช้ Google มักมีเป้าหมายชัดเจน เช่น การค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจซื้อ หรือเปรียบเทียบราคา ดังนั้นกลุ่มนี้มักมีแนวโน้มพร้อมที่จะซื้อสินค้าในทันที

Facebook Ads

ผู้ใช้ Facebook มักใช้งานในเวลาว่างหรือเพื่อความบันเทิง การโฆษณาบน Facebook จึงเหมาะสำหรับการแนะนำสินค้าใหม่ๆ ที่ผู้ชมอาจยังไม่ได้คิดถึง หรือการสร้างการมีส่วนร่วมกับแบรนด์

โอกาสในการขยายธุรกิจ (Scale Up)

Google Ads

Google Ads มีวิธีการขยายธุรกิจที่หลากหลาย เช่น:

– เพิ่มคีย์เวิร์ดใหม่ๆ เช่น คีย์เวิร์ดที่เป็นกลุ่มสินค้าใกล้เคียง, คีย์เวิร์ดแบรนด์คู่แข่ง, หรือคีย์เวิร์ดแบบ Long Tail ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
– ขยายการแสดงโฆษณาไปยังพื้นที่อื่นในประเทศหรือต่างประเทศ โฆษณา Google Ads สามารถแสดงได้ทั่วโลก ดังนั้นการขยายพื้นที่แสดงโฆษณาก็จะช่วยในการ Scale Up ถ้าคุณต้องขยายโฆษณาไปต่างประเทศ คุณควรเตรียมหน้าเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตามภาษาท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ จะช่วยทำให้โฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น
– ใช้ Performance Max ซึ่งเป็นรูปแบบโฆษณาที่สามารถแสดงในทุกช่องทางของ Google เช่น YouTube, Gmail, Google Maps, และเว็บไซต์พันธมิตร โดย Google Ads จะใช้ AI ในการนำส่งโฆษณา AI จะเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้งาน และปรับปรุงผลลัพธ์โฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Facebook Ads

Facebook Ads สามารถขยายกลุ่มเป้าหมายได้โดย:

– เพิ่มความสนใจหรือพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายในแนวอื่นๆ ที่อาจจะครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
– ยี่ห้อสินค้าแบรนด์เนม สินค้าแฟชั่นหรู หรือยี่ห้อรถยนต์ระดับพรีเมียม
– ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า เช่น BTS หรือ MRT, Food Panda, Starbucks, 7-11, อาหารญี่ปุ่น, ไวน์
– สถานที่อยู่อาศัย เช่น ชื่อโครงการหมู่บ้าน Land and House, Sansiri, Ananda Development
– ใช้ Lookalike Audience เพื่อหาเป้าหมายใหม่ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับลูกค้าเดิม คุณสามารถกำหนดให้ Facebook สร้างกลุ่มเป้าหมายที่มีความคล้ายกับกลุ่มเป้าหมายที่คุณมีอยู่เดิม เช่น กลุ่มคนที่กดถูกใจเพจ, กลุ่มคนที่เคยเข้ามาในเว็บไซต์, กลุ่มคนที่เคยส่งข้อความเข้ามาในกล่องข้อความ โดยการสร้าง Lookalike Audience ยังสามารถกำหนดขนาดหรือจำนวนของคนได้อีกด้วย ตั้งแต่ 1 – 10% หรือประมาณ 600,000 – 6,000,000 คน
– การทำ Remarketing ส่งโฆษณาติดตามกลุ่มคนที่เคยเข้าเว็บไซต์ หรือคนที่เคยมีส่วนร่วมกับโพสต์ต่างๆ เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยในการปิดการขายได้เพิ่มมากขึ้น และยังสามารถใช้เป็นโฆษณา Sale Up ส่งเสริม Google Ads ได้อีกด้วย โดยการติดตามคนที่เคยพิมพ์คำค้นหาและคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ กลุ่มคนเหล่านี้มีโอกาสที่จะตัดสินใจซื้อสูง

ข้อด้อยและข้อควรระวังในการเลือกใช้ Google Ads กับ Facebook Ads

Google Ads

– โดยภาพรวมทั่วไป ค่าโฆษณาต่อคลิก (Cost Per Click หรือ CPC) บน Google Ads มีค่าสูงกว่า ค่าโฆษณาต่อคลิกบน Facebook Ads โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง หรือสินค้าราคาแพง เช่น อสังหาริมทรัพย์ ประกันชีวิต หรือคลินิกเสริมความงาม
– เนื่องจากค่าโฆษณาต่อคลิกที่สูง การเลือกคีย์เวิร์ดที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้งบประมาณหมดไปโดยไม่ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า เช่น การเลือกคีย์เวิร์ดที่กว้างเกินไป หรือคีย์เวิร์ดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับสินค้าหรือธุรกิจ

Facebook Ads

– การเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึม Facebook Ads มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งกว่า Google Ads ทำให้ผู้ลงโฆษณาต้องคอยศึกษาข้อมูลใหม่ และปรับแผนโฆษณาอย่างต่อเนื่องให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง
– การแข่งขันที่รุนแรงจากแพลตฟอร์ม TikTok ซึ่งทำให้ผู้ใช้คนไทยหันไปใช้เวลาบน TikTok มากขึ้น ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการดึงดูดความสนใจผู้ใช้งาน Facebook ซึ่งอาจจะทำให้ผลลัพธ์ของการทำโฆษณามีประสิทธิภาพน้อยลง

Google Ads กับ Facebook Ads อันไหนดีกว่ากัน

ภาพปกหน้าแหล่งความรู้ – 3

บทสรุป: Google Ads กับ Facebook ads สำหรับธุรกิจ SME ในปี 2025

– หากธุรกิจของคุณมุ่งเน้นการขายสินค้าเฉพาะเจาะจง หรือมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดลูกค้าที่พร้อมจะซื้อทันที Google Ads อาจเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่า
– แต่ถ้าคุณต้องการสร้างการรับรู้แบรนด์ หรือขายสินค้าที่ต้องการที่เน้นอารมณ์ และความต้องการในเชิงแรงบันดาลใจ Facebook Ads จะตอบโจทย์ได้ดีกว่า
– แนวทางที่ดีที่สุดคือ การใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มร่วมกัน จะช่วยให้คุณครอบคลุมทั้งการสร้างความสนใจในวงกว้างและการปิดการขายอย่างมีประสิทธิภาพ จากประสบการณ์ที่เราทำ การใช้ Google Ads ในการเจาะหาลูกค้าที่กำลังตัดสินใจซื้อด้วยคีย์เวิร์ด และใช้ Facebook Remarketing เป็นตัวเสริมติดตามกลุ่มคนเหล่านี้บนหน้า Facebook Feed เป็นกลยุทธ์การยิงแอดที่ได้ผลมาก

ในปี 2025 การตลาดออนไลน์ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ SME การทำความเข้าใจจุดเด่น และข้อจำกัดของ Google Ads และ Facebook Ads จะช่วยให้คุณวางแผนการทำโฆษณาได้อย่างเหมาะสม และนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว

ส่งข้อมูลถึงเรา

ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!

คุยกับเราทางไลน์

เพิ่มเพื่อน

ข้อมูลบริษัท

บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด 

79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240

เลขประจำตัวผู้เสียภาษี  0105556135494

Email: contact@smejump.com

Tel: 02-100-6872, 02-100-6873

LINE : @smejump

จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.

เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ