หลักการออกแบบเว็บไซต์สำหรับธุรกิจ
หลักการออกแบบเว็บไซต์สำหรับธุรกิจ
ในยุคดิจิทัลที่การตลาดออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว เว็บไซต์กลายเป็นส่วนสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามในการสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ไม่เพียงแต่เป็นหน้าตาของธุรกิจ แต่ยังเป็นช่องทางสำคัญในการเชื่อมต่อกับลูกค้า SMEJUMP บริษัทรับทำการตลาดออนไลน์ เราขอนำเสนอบทความนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อเพิ่มยอดขาย โดยเน้นการออกแบบที่ตอบสนองต่อพฤติกรรมของผู้ใช้งาน และสนับสนุนการทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ
1. แสดงช่องทางติดต่อในตำแหน่งบนสุดของเว็บไซต์
การทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อธุรกิจได้ง่ายที่สุดเป็นเรื่องสำคัญ ช่องทางการติดต่อ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล หรือปุ่มแชทสด ควรถูกวางไว้ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ง่าย เช่น บริเวณด้านบนสุดของเว็บไซต์ (Header) หรืออยู่ในตำแหน่งที่คงที่ (Fixed) เมื่อผู้ใช้งานเลื่อนอ่านเนื้อหา โดยเฉพาะบนอุปกรณ์มือถือซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ใช้ในการเข้าถึงเว็บไซต์ การแสดงข้อมูลการติดต่อที่คงที่ในตำแหน่งนี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการหาข้อมูลและติดต่อธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างในการปรับแต่งเว็บไซต์:
เพิ่มปุ่ม “ติดต่อเรา” ที่ลิงก์ไปยังแบบฟอร์มหรือข้อมูลการติดต่ออย่างละเอียด นอกจากนี้ การใช้ Widget โชว์ช่องทางการติดต่อยังเป็นฟีเจอร์ที่สะดวกต่อการใช้งาน โดยเฉพาะถ้าเว็บไซต์ของคุณสร้างด้วย WordPress คุณสามารถติดตั้ง Plugin เพื่อใช้งานฟีเจอร์นี้ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ ใช้ไอคอนหรือสีที่โดดเด่นเพื่อเน้นช่องทางการติดต่อ เช่น ปุ่มติดต่อทางไลน์ ควรเป็นสีเขียวของไลน์ที่ลูกค้าคุ้นเคย หรือปุ่มอื่นๆ ควรใช้โลโก้มาตรฐานเพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับผู้เข้าเว็บไซต์
2. เมนูบนเว็บไซต์ไม่ควรมีเกิน 5 เมนู
เมนูนำทาง (Navigation Menu) ควรมีจำนวนรายการที่ครบถ้วนแต่ไม่มากเกินไป เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายและรวดเร็ว โดยโครงสร้างเมนูควรชัดเจนและไม่ซับซ้อนจนทำให้ผู้ใช้งานสับสน คำแนะนำคือควรมีเมนูไม่เกิน 5 รายการ โดยแต่ละเมนูควรสื่อความหมายชัดเจน เช่น
- หน้าแรก (Home)
- เกี่ยวกับเรา (About Us)
- บริการ (Services)
- ผลิตภัณฑ์ (Products)
- ติดต่อเรา (Contact Us)
การใช้เมนูที่กระชับช่วยลดความสับสนของผู้ใช้งาน และเพิ่มโอกาสที่พวกเขาจะค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
3. เนื้อหาของแต่ละหน้าบนเว็บไซต์ต้องสั้น กระชับ และได้ใจความ
ข้อมูลที่นำเสนอในแต่ละหน้าควรเน้นความกระชับและชัดเจน โดยคุณสามารถใช้ภาพและวิดีโอช่วยในการอธิบายเพื่อสร้างความเข้าใจมากขึ้น นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการทำ SEO เช่น การใช้คำสำคัญ (Keywords) อย่างเหมาะสม และการใส่ Meta Description ที่ดึงดูดผู้ใช้งาน เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำ SEO ให้ดียิ่งขึ้น
เพื่อช่วยการทำ SEO ให้ง่ายขึ้น คุณควรเพิ่มเมนูเกี่ยวกับบทความเพื่อใช้ในการสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ และควรหลีกเลี่ยงการ Spam คำสำคัญในหน้าเว็บไซต์หลัก ซึ่งอาจทำให้ประสบการณ์ผู้ใช้งานลดลงและส่งผลลบต่อการจัดอันดับ SEO
แนวทางการปรับเว็บไซต์เพื่อ SEO:
- วางแผนในการทำ SEO การทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพนั้นควรเป็นระบบและมีการวางแผนอย่างชัดเจน เนื่องจากผลลัพธ์ของการทำ SEO ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร โดยทั่วไปอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป การวางแผนช่วยให้คุณสามารถกำหนดขอบเขตของคีย์เวิร์ดที่ต้องการโฟกัส และจัดสรรเวลาในการสร้างบทความหรือเนื้อหาที่สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสม
- ใช้หัวข้อ (Heading) ที่ชัดเจน เช่น H1, H2 และ H3 เพื่อจัดระเบียบข้อมูล
- เพิ่มคำอธิบายภาพ (Alt Text) ให้กับรูปภาพ เพื่อช่วยในด้าน SEO
- สร้างวิดีโอสั้น ๆ ที่ให้ข้อมูลสำคัญ โดยวิดีโอควรมีคำบรรยาย (Subtitles) เพื่อความสะดวกของผู้ใช้งานที่ไม่สามารถเปิดเสียงได้
4. วาง Tracking Code บนทุกหน้าของเว็บไซต์
การวาง Tracking Code ช่วยให้คุณสามารถติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ได้อย่างละเอียด เทคนิคสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จยังรวมถึงการทำ Remarketing ซึ่งอาศัยการวางโค้ดต่างๆ บนเว็บไซต์อย่างเหมาะสม เครื่องมือที่ควรติดตั้ง ได้แก่:
- Google Tag Manager (GTM): เป็นเครื่องมือที่แนะนำให้เป็นตัวหลักในการติดตั้งและจัดการ Tracking Code ต่าง ๆ คุณควรวาง GTM บนเว็บไซต์เป็นอันดับแรก และใช้ GTM ในการวาง Tracking Code อื่น ๆ เพื่อช่วยให้คุณสามารถบริหารจัดการโค้ดต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความซับซ้อนในการแก้ไขหรืออัปเดตโค้ดในอนาคต
- Google Analytics: ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลผู้เข้าชม เช่น จำนวนผู้เข้าชม เวลาเฉลี่ยบนเว็บไซต์ และอัตราการตีกลับ (Bounce Rate)
- Google Remarketing และ Facebook Pixel: ช่วยให้คุณสามารถสร้างโฆษณาเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้าชมเว็บไซต์
- Conversion Tracking: ช่วยวัดผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณา เช่น จำนวนการซื้อหรือการลงทะเบียน
5. การออกแบบเว็บไซต์ตามเส้นทางการเดินของลูกค้า (Sales Funnel)
การออกแบบเว็บไซต์ควรรองรับการเดินทางของลูกค้าในแต่ละขั้นตอนของ Sales Funnel ซึ่งประกอบด้วยการวางคอนเทนต์ที่สอดคล้องกับเส้นทางของลูกค้า (Customer Journey) คุณควรจินตนาการถึงหน้าเว็บไซต์แต่ละหน้าและระบุว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์กำลังอยู่ในช่วงใดของ Customer Journey การปรับแต่งเนื้อหาและข้อมูลให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงจะช่วยบ่มเพาะลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนนำไปสู่การปิดการขายและกระตุ้นให้ลูกค้าบอกต่อ นอกจากนี้ ขั้นตอนสำคัญใน Sales Funnel ประกอบด้วย:
- รับรู้ (Awareness): เนื้อหาในส่วนนี้ควรเน้นการสร้างความประทับใจแรก เช่น บทความหรือวิดีโอที่นำเสนอคุณค่าและประโยชน์ของสินค้า
- สนใจ (Interest): เพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าและบริการ เพื่อช่วยให้ลูกค้าเข้าใจว่าเหมาะสมกับความต้องการของพวกเขา
- ตัดสินใจซื้อ (Purchase): ออกแบบหน้าเพจที่เรียบง่ายและชัดเจน เช่น หน้าสั่งซื้อที่มีปุ่ม “ซื้อเลย” ที่เห็นได้ง่าย
- บอกต่อ (Advocacy): กระตุ้นให้ลูกค้าเขียนรีวิว หรือแชร์ประสบการณ์ผ่านโซเชียลมีเดีย โดยอาจเสนอส่วนลดหรือรางวัลตอบแทน
สรุป: หลักการออกแบบเว็บไซต์สำหรับธุรกิจ
การออกแบบเว็บไซต์สำหรับธุรกิจไม่ใช่เพียงแค่การสร้างเว็บไซต์ที่ดูสวยงาม แต่ยังต้องคำนึงถึงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน และการตอบสนองต่อเส้นทางที่ลูกค้าเดินในขั้นต่าง ๆ (Customer Journey) เพื่อให้เว็บไซต์สามารถนำเสนอข้อมูลที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าได้อย่างเหมาะสม การบ่มเพาะลูกค้าจนถึงขั้นตอนการตัดสินใจซื้อ และการกระตุ้นให้ลูกค้าบอกต่อ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจของคุณ
เกี่ยวกับ SMEJUMP
เราเป็นเอเจนซี่รับทำการตลาดออนไลน์ที่เชี่ยวชาญด้านการยิงแอดโฆษณาและการวางแผนกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล ด้วยทีมงานมืออาชีพและประสบการณ์มากกว่า 10 ปี เราได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิก Premier Google Partner ของประเทศไทย เราพร้อมช่วยคุณสร้างแบรนด์และขยายธุรกิจในทุกช่องทางออนไลน์
ส่งข้อมูลถึงเรา
ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!
คุยกับเราทางไลน์
ข้อมูลบริษัท
บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด
79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240
เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0105556135494
Email: contact@smejump.com
Tel: 02-100-6872, 02-100-6873
LINE : @smejump
จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.
เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ