การเลือก ประเภทโฆษณา ที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มยอด

ทำไมต้องเปลี่ยน ประเภทโฆษณา เพื่อเพิ่มยอด?

การเปลี่ยนประเภทโฆษณาเป็นสิ่งที่สำคัญในการเพิ่มยอดขาย เพราะว่าประเภทของโฆษณาที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าแตกต่างกันไป โดยการเลือกใช้ประเภทของโฆษณาที่เหมาะสมจะช่วยให้โฆษณาของคุณเป็นไปตามเป้าหมายและมีผลสำเร็จในการส่งเสริมการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยกตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายของคุณคือผู้หญิงที่สนใจในเครื่องสำอาง ก็ควรเปลี่ยนโฆษณาเป็นการโฆษณาในสื่อที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้หญิง เช่น ในแอพพลิเคชันสำหรับการแต่งหน้า หรือในนิตยสารเกี่ยวกับการแต่งหน้า

นอกจากนี้ การเปลี่ยนประเภทโฆษณายังช่วยให้ลูกค้าเก่ามีการรู้จักและสนใจในสินค้าหรือบริการของคุณอีกครั้ง และยังช่วยดึงดูดความสนใจของลูกค้าใหม่ที่ยังไม่รู้จักกับสินค้าหรือบริการของคุณอีกด้วย

การเปลี่ยนโฆษณาเป็น ประเภทโฆษณา ที่เหมาะสมยังมีประโยชน์อีกมากมายเช่นกัน

ดังนี้

• เพิ่มโอกาสในการเติมเต็มศักยภาพลูกค้า: การเปลี่ยนโฆษณาเป็นประเภทที่เหมาะสมจะช่วยให้ลูกค้ามีโอกาสตอบสนองและเข้าใจโฆษณาของคุณได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้เพิ่มโอกาสในการเติมเต็มศักยภาพของลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ
• เพิ่มความน่าสนใจในโฆษณา: การเปลี่ยนโฆษณาให้เหมาะสมจะทำให้โฆษณาของคุณมีความน่าสนใจและเป็นไปตามเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดความสนใจของลูกค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกค้าใหม่ที่ยังไม่รู้จักกับสินค้าหรือบริการของคุณ
• ปรับเปลี่ยนแผนการตลาด: การเปลี่ยนโฆษณาให้เหมาะสมอาจจะทำให้คุณต้องปรับเปลี่ยนแผนการตลาดเพื่อให้เหมาะสมกับโฆษณาใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งเสริมการขายและเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• สร้างความท้าทายในการตลาด: การเปลี่ยนโฆษณาให้เหมาะสมอาจจะช่วยสร้างความท้าทายในการตลาดและการสร้างแรงจูงใจให้กับทีมงานด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าในการส่งเสริมการขายของคุณ

การเปลี่ยนประเภทโฆษณาไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังช่วยปรับปรุงภาพลักษณ์แบรนด์ และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว

---

ประเภทโฆษณาแบบไหน? เหมาะกับการเพิ่มยอดอะไร?

1. เพิ่มยอดขาย (Sales Conversion)

• Google Search Ads: โฆษณาแบบข้อความ ที่แสดงผลเมื่อมีคนค้นหาสินค้า หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด หรือคำที่พวกเขาค้นหา เหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหาสินค้าหรือบริการอยู่แล้ว
• Dynamic Ads (Facebook/TikTok/Google): โฆษณาแสดงสินค้าที่ลูกค้าสนใจ แบบอัตโนมัติ เช่น สินค้าที่เคยดู หรือมีความใกล้เคียง
• Shopping Ads (Google): โฆษณาสินค้าที่แสดงภาพ ราคา และรายละเอียดสินค้า เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีแอป หรือเว็บไซต์ eCommerce

---

2. เพิ่มยอดเข้าชมเว็บไซต์ (Website Traffic)

• Facebook Ads – Traffic Campaign: โฆษณาที่ชักชวนให้คนคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์ของคุณ เหมาะสำหรับการโปรโมตบทความ โปรโมชั่น หรือสินค้าใหม่ โดยมีหน้าเว็บไซต์รองรับสำหรับสิ่งที่คุณโปรโมต

---

3. เพิ่มยอดติดตามหรือ Engagement บนโซเชียลมีเดีย

• Instagram Stories Ads: โฆษณาแบบเต็มจอที่น่าดึงดูด เหมาะสำหรับการเพิ่มการมีส่วนร่วม
• TikTok Ads: โฆษณาแบบวิดีโอสั้น ที่เหมาะกับการดึงดูดความสนใจของคนรุ่นใหม่ และเพิ่ม Engagement
• Boosted Posts (Facebook/Instagram): โปรโมตโพสต์ที่มีอยู่บนหน้าเพจของคุณ ให้มีการเข้าถึง และ Engagement ที่สูงขึ้น

---

4. เพิ่มการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness)

• YouTube TrueView Ads: โฆษณาที่ผู้ชมสามารถเลือกกดข้ามได้ ช่วยสร้างการรับรู้โดยไม่ทำให้ผู้ชมรู้สึกโดนบังคับ
• Facebook/Instagram Reach Campaigns: โฆษณาที่เน้นการเข้าถึงจำนวนคนมากที่สุด โดยไม่เน้นผลลัพธ์อย่างยอดวิว ยอดการมีส่วนร่วม หรือยอดคลิก
• Display Ads (Google): โฆษณาแบนเนอร์ สำหรับเพิ่มการมองเห็นแบรนด์ในวงกว้าง โดยแสดงอยู่ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ

---

5. เพิ่มยอดลงทะเบียนหรือเก็บข้อมูลลูกค้า (Leads)

• Facebook Lead Ads: โฆษณาที่มีแบบฟอร์มในตัว ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าได้ง่าย และรวดเร็ว เมื่อลูกค้ามีความสนใจที่จะลงทะเบียน

---

ดังนั้นแล้ว การเลือกประเภทโฆษณาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ในการทำการตลาดออนไลน์ของคุณ ถ้าต้องการเพิ่มยอดขายให้โฟกัสที่ Conversion Ads หรือ Dynamic Ads แต่ถ้าต้องการการรับรู้แบรนด์มากขึ้น ให้เลือกประเภท Reach หรือ Video Ads เช่น YouTube TrueView ซึ่งคุณสามารถผสมผสานประเภทโฆษณา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณเอง หากคุณมีความสนใจ ต้องการผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยวางแผนการทำโฆษณาบนตลาดออนไลน์ให้กับคุณ SME jump บริษัทรับทำการตลาดออนไลน์ Digital Marketing เรามีความเชี่ยวชาญในการทำโฆษณารูปแบบต่างๆ โดยปรับรูปแบบโฆษณาให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณโดยเฉพาะ