กลยุทธ์การติดอันดับบนหน้า Google Search SEO และ SEM

SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร? วันนี้เราจะพามาทำความเข้าใจสองกลยุทธ์สำคัญในการติดอันดับบนหน้า Google Search

SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร

SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร

การเข้าใจเรื่อง SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร ในมุมมองของเราที่เป็นเอเจนซี่โฆษณาออนไลน์ จะช่วยทำให้คุณเลือกใช้เครื่องมือได้ถูกต้อง ตอบโจทย์เป้าหมายทางการตลาดออนไลน์ของคุณ ยิ่งในยุคที่คอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok และ Facebook มีเยอะมาก  การค้นหาข้อมูลบนหน้า Google Searh มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อหนีการแข่งขันลงโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย ดังนั้นการทำให้เว็บไซต์ หรือแสดงธุรกิจของเราปรากฏในตำแหน่งที่ดีที่สุดบนหน้า Google Search  จึงเป็นเป้าหมายที่หลายธุรกิจต้องการ เทคนิคที่นักการตลาดออนไลน์นิยมใช้ในปัจจุบัน เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งที่ดี  คือ SEO (Search Engine Optimization)  และ SEM (Search Engine Marketing)แต่ทั้งสองคำนี้มีความแตกต่างที่สำคัญหลายอย่าง ซึ่งหลายคนอาจยังเข้าใจไม่ชัดเจน บทความนี้จะพาทุกท่านมาทำความเข้าใจความหมายของ SEO และ SEM รวมถึงการเปรียบเทียบคุณสมบัติ ข้อดี ข้อเสีย และวิธีการเลือกใช้งาน เพื่อสร้างกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด

SEO (Search Engine Optimization): การปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อการค้นหาที่มีคุณภาพ

ความหมายของ SEO

SEO ย่อมาจากคำว่า Search Engine Optimization ซึ่งหมายถึงกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เป็นไปตามอัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหา (ในที่นี้คือ Google Search ซึ่งเป็น Search Engine ที่คนไทยนิยมใช้กันมากที่สุด) เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณแสดงในตำแหน่งที่สูงขึ้นในผลลัพธ์การค้นหาทั่วไป หรือที่เรียกว่า “organic results” โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการแสดง เพราะ Google จะเป็นผู้เลือก หรือ index เว็บไซต์ที่ตรงกับอัลกอริทึมไปแสดงบนหน้า Google Search ให้โดยอัตโนมัติ SEO ถือเป็นกลยุทธ์ที่เน้นการสร้างทราฟฟิก ดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยเป็นกลยุทธ์ในระยะยาว ด้วยการพัฒนาเนื้อหาที่มีคุณภาพ และการปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ (User Experience หรือ UX)

องค์ประกอบหลักของ SEO

ข้อมูลด้านล่าง คือหลักการทำ SEO พื้นฐานที่ยังใช้ได้ผลจริงถึงปัจจุบัน เพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นไปตามอัลกอริทึมพื้นฐานของ Google Search

  1. On-Page SEO: การปรับแต่งโครงสร้าง และคอนเทนต์ภายในหน้าเว็บไซต์ เช่น การเลือกใช้คีย์เวิร์ด (Keyword) ที่เหมาะสมในเนื้อหาและหัวข้อ, การใช้ Meta tags ต่างๆ, การจัดการโครงสร้าง URL และการปรับแต่งให้เว็บไซต์โหลดได้รวดเร็วมากขึ้น On-Page SEO ถือเป็นสิ่งแรกที่นักการตลาดออนไลน์ควรทำ ในการเริ่มต้นทำ SEO
  2. Off-Page SEO: การสร้างลิงก์เชื่อมโยงจากเว็บไซต์ภายนอก หรือที่เรียกว่า Backlinks รวมถึงการสร้างความน่าเชื่อถือผ่านการแชร์เนื้อหาในโซเชียลมีเดีย เช่น การแชร์โพสต์ใน Facebook และ Instagram เหตุผลเพราะการเชื่อมโยงจากแหล่งที่มีความหน้าเชื่อถือ ช่วยเพิ่มเครดิตหรือความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ ส่งผลให้ Google ให้คุณค่าของคอนเทนต์เพิ่มมากขึ้น คำแนะนำของเราคือ ควรเน้นที่คุณภาพของ Backlinks มากกว่าเน้นปริมาณหรือจำนวน Backlinks  ควรเลือกเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือในการสร้าง Backlinks นั่นเอง
  3. Technical SEO: การปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ในเชิงเทคนิค เพื่อทำให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพดี เป้าหมายคือเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ เช่น  การทำให้เว็บไซต์สามารถเข้าถึงได้ดีบนสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต (Mobile-friendly), การเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วของเว็บไซต์ และการเปิดให้เว็บไซต์สามารถอ่านได้โดย Google bots อย่างถูกต้อง เราแนะนำให้คุณใช้ Google Search Console ในการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นแนวทางในการทำ Technical SEO

ข้อดีของ SEO (เปรียบเทียบกับ SEM)

– ไม่เสียค่าใช้จ่ายในระยะยาว: การเข้าชมที่ได้จากการทำ SEO เป็นการเข้าชมแบบออร์แกนิค ซึ่งหมายความว่า คุณไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา Google Ads เพื่อแสดงเว็บไซต์ของคุณบนหน้า Google Search ยิ่งถ้าคุณเรียนรู้ และสามารถทำ SEO ได้ด้วยตัวเอง ค่าใช้จ่ายการทำ SEO ก็จะไม่มี และยังสามารถขยายการแสดงผลไปในคีย์เวิร์ดต่างๆที่คุณต้องการได้อีกด้วย

– เสริมสร้างความน่าเชื่อถือ: ในเชิงจิดวิทยา การที่เว็บไซต์ของคุณแสดงในตำแหน่งสูงด้านบน Google Search เมื่อลูกค้าค้นหา มักถูกมองว่ามีเว็บไซต์ของคุณน่าเชื่อถือ และมีคุณภาพ เสมือนกับ Google ให้การรับรองกลายๆ

– ผลลัพธ์ระยะยาว: การทำ SEO ให้ผลลัพธ์ระยะยาว แม้ว่า SEO ต้องใช้เวลาในการเห็นผล แต่ผลลัพธ์ที่ได้มักยั่งยืนกว่า และจะช่วยดึงดูดผู้ใช้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะคุณไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณา ในหลายๆครั้ง ถ้าคุณทำโฆษณาแล้วไม่ได้ผลที่คาดหวัง คุณก็จะหยุดการทำโฆษณา ทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่สามารถแสดงได้ในระยะยาว

ข้อเสียของ SEO (เปรียบเทียบกับ SEM)

– ใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลลัพธ์: การทำ SEO ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-6 เดือนเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน และไม่สามารถการันตีได้ 100% ว่าเว็บไซต์ของคุณจะแสดงในตำแหน่งที่คุณต้องการ เพราะการทำ SEO เป็นการปรับแต่งเว็บไซต์ตามอัลกอริทึมของ Google Search แต่การเลือกให้เว็บไซต์ไปแสดง เป็นการเลือกจาก Google ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว คุณไม่สามารถกำหนด Google ได้

– การแข่งขันสูง โดยเฉพาะคีย์เวิร์ดอังกฤษ: การแข่งขันในคีย์เวิร์ดสำคัญ อาจทำให้ยากต่อการติดอันดับในหน้าแรกของ Google โดยเฉพาะคีย์เวิร์ดภาษาอังกฤษ ซึ่งคุณต้องแข่งขันกับเว็บไซต์ทั่วโลกที่ต้องการทำ SEO ในคีย์เวิร์ดนั้นๆ

SEM (Search Engine Marketing): ในที่นี้หมายถึงการทำโฆษณาด้วย Google Ads 

ความหมายของ SEM

SEM คืออะไร SEM ย่อมาจากคำว่า Search Engine Marketing หมายถึงการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาโดยการโฆษณาแบบชำระเงิน อย่างเช่น Google Ads  SEM มักถูกใช้เพื่อเร่งให้เว็บไซต์หรือเนื้อหาปรากฏในตำแหน่งบนสุดของหน้า Google Search แบบทันทีที่ทำการโฆษณา จากประสบการณ์ที่รับทำ Google Ads มามากกว่า 10 ปี เว็บไซต์ของคุณสามารถแสดงบนหน้าแรก ได้ในเวลาไม่เกิน 15-30 นาที หลังจากที่คุณทำการสร้างแคมเปญใน Google Ads และกำหนดคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการ

องค์ประกอบหลักของ SEM

  1. การเลือกคำค้นหาที่เหมาะสม (Keyword Targeting): เลือกคำค้นหาที่จะนำไปใช้โฆษณาเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด โดยปกติเราแนะนำให้เลือกคีย์เวิร์ดที่ตรง หรือเกี่ยวข้องกับสินค้า หรือบริการของคุณเป็นอันดับแรก ไม่ควรเลือกคีย์เวิร์ดที่กว้างเกินไป เพราะจะทำให้โฆษณาไปแสดงในคำที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เป็นการเสียเงินโฆษณาไปเปล่าประโยชน์
  2. การเสนอราคา (Bidding): ระบบการโฆษณาทำโฆษณา Google Ads เป็นระบบเสนอราคา หรือ ประมูล (Bidding) โดย Google Ads จะมีอัลกอริทึมในการเปรียบเทียบโฆษณาของผู้ที่ลงโฆษณาในคีย์เวิร์ดนั้นๆ และจะเลือกให้ผู้ที่ได้คะแนนสูงแสดงในตำแหน่งบน และค่อยเรียงลองในตำแหน่งถัดไป ดังนั้นคุณควรศึกษา และทำความเข้าใจการทำงานของ Google Ads เพื่อที่จะใช้งบโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. การจัดการโฆษณา (Ad Management): เนื่องจาก Google Ads เป็นระบบการทำโฆษณา ดังนั้นจึงต้องการ การจัดการโฆษณาที่เหมาะสม และสอดคล้องกับเป้าหมายการตลาดที่คุณต้องการ  เช่น การปรับแต่งข้อความโฆษณาให้น่าสนใจ แตกต่างจากคู่แข่ง, การตั้งค่าช่วงเวลาแสดงโฆษณา, การปรับการเสนอราคาตามความคุ้มค่า
  4. การวัดผลลัพธ์ (Tracking and Analysis): เพื่อสร้างผลลัพธ์โฆษณาที่ดี และคุ้มค่ากับงบโฆษณาที่ใช้ คุณควรหาเครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น Google Analytics เพื่อติดตามผลลัพธ์ของทราฟฟิกที่เข้ามาในเว็บไซต์ และแนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพของโฆษณา

ข้อดีของ SEM (เปรียบเทียบกับ SEO)

– เห็นผลทันที: อย่างที่กล่าวได้บน การทำโฆษณาผ่าน Google Ads สามารถแสดงผลในหน้าแรกภายในเวลาไม่นานจากเริ่มแคมเปญโฆษณา

– ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี: Google Ads เป็นระบบการทำโฆษณาที่สามารถกำหนดการใช้งบโฆษณาได้ ทำให้คุณสามารถกำหนดงบประมาณที่ต้องการใช้ต่อวัน หรือต่อแคมเปญได้อย่างชัดเจน

– เลือกคีย์เวิร์ดได้หลากหลาย: การทำโฆษณาบน Google Ads สามารถเลือกคีย์เวิร์ดที่ต้องการได้หลากหลาย ง่ายกว่าการทำ SEO เป็นอย่างมาก ตอบโจทย์การทำธุรกิจที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว และความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยน

ข้อเสียของ SEM (เปรียบเทียบกับ SEO)

– เสียค่าใช้จ่ายต่อคลิก: การทำโฆษณา Google Ads ต้องจ่ายค่าโฆษณาทุกครั้งที่มีผู้คลิกที่โฆษณา ซึ่งค่าใช้จ่ายอาจจะสูงหรือต่ำ ขึ้นอยู่กับการแข่งขันในแต่ละคีย์เวิร์ด ซึ่งข้อเสียนี้เป็นเหตุผลสำคัญที่หลายธุรกิจหันเลือกใช้การทำ SEO

– ผลลัพธ์ชั่วคราว: อย่างที่กล่าวในหัวข้อ SEO การทำโฆษณาด้วย Google Ads เว็บไซต์จะแสดงบนหน้า Google Search ตราบใดที่แคมเปญโฆษณาของคุณรันอยู่ แต่เมื่อหยุดจ่ายเงินโฆษณา โฆษณาจะหายไปทันที ซึ่งหมายถึงเว็บไซต์ของคุณจะไม่แสดงบนหน้า Google Search ผลลัพธ์จึงไม่ได้ยั่งยืนเท่า SEO

เปรียบเทียบระหว่าง SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร

ปัจจัย SEO SEM
ระยะเวลาเห็นผล ระยะยาว (3-6 เดือนขึ้นไป) ระยะสั้น (เห็นผลได้ทันที)
ค่าใช้จ่าย ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชมออร์แกนิค มีค่าใช้จ่ายต่อคลิก (PPC)
ผลลัพธ์ยั่งยืน ยั่งยืนในระยะยาว ผลลัพธ์ชั่วคราวเมื่อหยุดจ่ายโฆษณา
ความน่าเชื่อถือ เพิ่มความน่าเชื่อถือจากการติดอันดับธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับเนื้อหาโฆษณา
การแข่งขัน การแข่งขันสูงในคำค้นหาที่มีความนิยม การแข่งขันขึ้นอยู่กับงบประมาณของแต่ละธุรกิจ

คำแนะนำในการเลือกใช้ SEO หรือ SEM

การเลือกใช้ SEO หรือ SEM ควรพิจารณาจากเป้าหมาย งบประมาณ และเวลาที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ ซึ่งถ้าคุณสามารถทำได้ทั้ง SEO และ SEM ควบคู่กัน จะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด เพราะทั้งสองวิธีจะช่วยส่งเสริมกัน SEO จะช่วยทำให้ SEM มีค่าคลิกที่ถูกลง ในขณะที่ SEM จะช่วยกระตุ้นทราฟฟิกทำให้ SEO ติดอันดับเร็วขึ้น
ด้านล่างคือ ตัวอย่างแนวทางการเลือกใช้ตามสถานการณ์
– หากคุณมีงบประมาณ และต้องการเห็นผลในระยะสั้น เช่น ในช่วงโปรโมชั่นหรือการเปิดตัวสินค้าใหม่ การทำ SEM อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
– หากคุณต้องการสร้างแบรนด์และมีผลลัพธ์ที่ยั่งยืน การลงทุนใน SEO อาจเป็นกลยุทธ์ที่คุ้มค่ากว่าในระยะยาว

บทสรุปของ SEO และ SEM

SEO และ SEM ต่างเป็นกลยุทธ์ที่มีประโยชน์และมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดย SEO จะมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับในผลการค้นหาธรรมชาติ และสามารถดึงดูดผู้เข้าชมได้ในระยะยาว ส่วน SEM จะเน้นการทำโฆษณาแบบเสียเงินเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว การเลือกใช้กลยุทธ์แบบไหน ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย งบประมาณ และเวลาที่ธุรกิจของคุณต้องการ
พวกเรา SMEJUMP รับทำ Google Ads แบบครบวงจร และได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Premier Google Partner ของประเทศไทย
ส่งข้อมูลถึงเรา

ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!

คุยกับเราทางไลน์

เพิ่มเพื่อน

ข้อมูลบริษัท

บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด 

79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240

เลขประจำตัวผู้เสียภาษี  0105556135494

Email: contact@smejump.com

Tel: 02-100-6872, 02-100-6873

LINE : @smejump

จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.

เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ