วิธี Optimize Google Ads ที่นักยิงแอดต้องรู้
วิธี Optimize Google Ads มีอะไรบ้างมาดูกัน
เปิดเผยเคล็ดลับสุดยอด วิธี Optimize Google Ads !
จากการรับทำโฆษณา Google Ads มามากว่า 10 ปี การทำปรับแต่งโฆษณาให้มีประสิทธิภาพ คือ งานที่สำคัญที่จะทำให้ โฆษณา Search Ads ชนะคู่แข่ง
Google Ads Optimization คืออะไร?
กระบวนการปรับปรุงและปรับแต่งแคมเปญโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Google Ads เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ค่าคลิกถูกลง หรือ ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ามากขึ้น เช่น ต้นทุนต่อคอนเวอร์ชั่นที่เหมาะสม และอัตรา conversion ที่สูง
นอกจากนี้ การทำ Optimization รวมถึงการปรับคีย์เวิร์ดให้เหมาะสม การเลือกเครือข่ายการแสดงผล การปรับแต่งหน้า Landing Page การใช้ส่วนขยายโฆษณา (Assets) และการตั้งค่า Targeting เพื่อให้โฆษณาเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานที่ตรงกับวัตถุประสงค์มากที่สุด
บทความนี้จะนำเสนอวิธีการทำ หรือ How to จากประสบการณ์การเป็นเอเจนซี่โฆษณาออนไลน์ โดยนำเสนอ 5 เรื่องดังนี้
- ปิดการแสดงผลโฆษณาในเครือข่าย Search Partner
ในหลายกรณี คุณอาจพบว่าคุณไม่ค่อยเห็นโฆษณาของตัวเองบนหน้า Google Search เลย เหตุผลก็อาจจะมาจาก โฆษณาของคุณถูกแสดงบนเว็บไซต์ในเครือข่ายพันธมิตรของ Google หรือที่เรียกว่า Search Partner มากกว่าในหน้า Google Search ซึ่งบางครั้งผลลัพธ์ที่ได้จากเครือข่ายเหล่านี้อาจไม่ได้คุณภาพเท่าที่ควร หรืออาจจะไม่ใช่ตำแหน่งที่คุณต้องการให้โฆษณาไปแสดง
ดังนั้นการปิด Search Partner จึงเป็นหนึ่งในวิธีการปรับแต่งโฆษณา ที่พวกเราใช้ เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา คุณสามารถปิดการแสดงโฆษณาใน Search Partner ได้โดยการทำตามขั้นตอนดังนี้:
- เข้าไปที่บัญชี Google Ads ของคุณ
- เลือกแคมเปญที่คุณต้องการปรับแต่ง
- ไปที่แท็บ การตั้งค่า (Settings)
- ในส่วน เครือข่าย (Networks) จะมีตัวเลือกให้คุณเลือก หรือไม่เลือก Google Search Partner
- เอาเครื่องหมายถูกออกจากตัวเลือกนี้เพื่อปิดการแสดงผลใน Search Partner
การปิดเครือข่ายพันธมิตรนี้ จะทำให้โฆษณาของคุณแสดงผลเฉพาะในหน้า Google Search ซึ่งโดยทั่วไป จะทำให้คุณได้ทราฟฟิกที่มีคุณภาพมากกว่าเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณ และเพิ่มโอกาสให้โฆษณาของคุณแสดงบนหน้า Google Search ได้บ่อยมากขึ้น
- การปรับแต่งคีย์เวิร์ด (Keyword Optimization)
อีกหนึ่งวิธีที่ในการทำ Ads Optimization คือการปรับแต่งคีย์เวิร์ด คีย์เวิร์ดมีบทบาทสำคัญในการกำหนดว่าโฆษณาของคุณจะปรากฏเมื่อผู้ใช้ค้นหาข้อมูลอะไร การเลือกคีย์เวิร์ดที่ถูกต้องสามารถช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ตรงจุดมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายต่อคลิก (Cost-per-Click หรือ CPC) และเพิ่มโอกาสในการได้ลูกค้าที่มีคุณภาพ
คีย์เวิร์ดมี 3 รูปแบบคือ แบบการทำงานแบบกว้าง (Board Match), การทำงานแบบวลี (Phrase Match), และการทำงานแบบตรงทั้งหมด (Exact Match) เทคนิคที่เราใช้คือ เราจะเริ่มโดยใช้คีย์เวิร์ดแบบ Phrase Match ก่อน แล้วค่อยๆขยายไปเป็น Board Match ในกรณีที่เราใช้ Bid Strategy เป็น Conversion
สิ่งที่เรา Optimize Google Ads ทุกอาทิตย์คือ:
การทำคีย์เวิร์ดเชิงลบ (Negative Keywords) การใช้คีย์เวิร์ดเชิงลบสามารถช่วยลดการแสดงผลโฆษณาในคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือคีย์เวิร์ดที่ไม่มีคุณภาพ ที่ไม่ทำให้เกิดคอนเวอร์ชั่น ตัวอย่างเช่น หากคุณขายสินค้าในระดับพรีเมียม คุณอาจเพิ่มคีย์เวิร์ดเชิงลบเช่น “ราคาถูก” หรือ “ลดราคา” เพื่อป้องกันไม่ให้โฆษณาของคุณปรากฏต่อกลุ่มผู้ที่กำลังมองหาสินค้าราคาต่ำ โดยปกติแล้วพวกเราจะทำ Negative Keyword ให้กับบัญชีลูกค้าทุกอาทิตย์ ซึ่งจะทำให้โฆษณาแสดงในกลุ่มคำค้นหาที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น และผลที่ได้จากการทำ Ads Optimization แบบนี้คือ ทำให้ค่า CTR สูงขึ้นอีกด้วย
- การใช้ Assets เพื่อเพิ่มการแสดงผล
การเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา Google Ads ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การปรับคีย์เวิร์ดและงบประมาณ คุณสามารถใช้ Assets เพื่อเพิ่มความน่าสนใจของตัวโฆษณาที่คุณเขียน และยังช่วยเพิ่มพื้นที่ในการแสดงโฆษณาของคุณ ซึ่งการปรับแต่งนี้จะช่วยให้โฆษณาของคุณโดดเด่นและดึงดูดความสนใจได้มากขึ้น
ประเภทของ Assets ที่ควรใช้สำหรับการ Optimization:
– Sitelink: ช่วยเพิ่มลิงก์เพิ่มเติมภายใต้โฆษณาของคุณเพื่อให้ผู้ใช้สามารถคลิกเข้าสู่หน้าที่เกี่ยวข้องได้โดยตรง
– Call: เพิ่มหมายเลขโทรศัพท์ในโฆษณาเพื่อให้ลูกค้าสามารถติดต่อคุณได้ทันที
– Location: ช่วยให้โฆษณาของคุณแสดงตำแหน่งทางกายภาพของธุรกิจ ทำให้ผู้ที่สนใจสามารถค้นหาธุรกิจของคุณได้ง่ายขึ้น
– Structured Snippet: แสดงรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ เช่น ประเภทของสินค้าหรือข้อเสนอพิเศษ
- การปรับปรุงหน้า Landing Page ให้สอดคล้องกับโฆษณา
หน้า Landing Page ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญมากในการทำให้แคมเปญโฆษณา Google Ads การที่ผู้ใช้คลิกโฆษณาของคุณแล้วพบว่าหน้าเว็บที่เข้าไปไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่พวกเขาคาดหวัง จะทำให้พวกเขาออกจากหน้าเว็บอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้ Bounce Rate สูงขึ้น และอาจทำให้ Quality Score ลดลง ในทางกลับกัน ถ้าหน้า Landing Page ของคุณมีคอนเทนต์ที่สอดคล้องกับคีย์เวิร์ด และข้อความโฆษณา Google Ads ก็จะให้ Quality Score เพิ่มขึ้น และคะแนนนี้จะช่วยทำให้อันดับการแสดงโฆษณาดีขึ้นอีกด้วย
เทคนิคที่พวกเราทำ Landing Page Optimization:
– ความสอดคล้องของเนื้อหา: หน้า Landing Page ควรมีเนื้อหาที่ตรงกับโฆษณาที่ผู้ใช้คลิกเข้ามา หากโฆษณาของคุณพูดถึงโปรโมชั่นสินค้า หน้า Landing Page ควรแสดงข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าประเภทนั้น พร้อมกับรายละเอียดโปรโมชั่นอย่างชัดเจน
– ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์: การที่หน้าเว็บโหลดช้าจะทำให้ผู้ใช้ไม่พอใจ และออกจากเว็บไซต์ ควรปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บให้รวดเร็วโดยเฉพาะการแสดงผลบนมือถือ โดยการใช้รูปภาพที่ขนาดไฟล์ไม่ใหญ่เกินไป ซึ่งทำให้เว็บโหลดช้า
– การออกแบบที่ตอบสนองต่อทุกอุปกรณ์ (Responsive Design): หน้า Landing Page ควรรองรับการแสดงผลบนทุกอุปกรณ์ทั้งคอมพิวเตอร์และมือถือ เนื่องจากปัจจุบันผู้ใช้จำนวนมากค้นหาผ่านอุปกรณ์มือถือ เว็บไซต์ต้องอ่านง่าย คลิกง่ายบนมือถือ
- การปรับตั้งค่า Targeting ให้ละเอียดมากขึ้น (Targeting Optimization)
Targeting ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นช่วยให้โฆษณาของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งจะช่วยทำให้แคมเปญโฆษณามีประสิทธิภาพ คุ้มกับเงินที่เสียไป การปรับแต่ง Targeting สำหรับ Search Ads เช่น กำหนดช่วงเวลาแสดงโฆษณา ระบุพื้นที่ หรืออาจจะมีการปรับ Bid Adjustment ในบางวัน ในบางพื้นที่ เช่น ช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ค้นหาข้อมูล อาจจะปรับ Bid Adjustment เพิ่มขึ้น เพื่อให้โฆษณาแสดงมากขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว
สรุป วิธี Optimize Google Ads
การปรับแต่งโฆษณา Google Ads อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ ไม่ว่าจะเป็นการปิดการแสดงผลในเครือข่ายพันธมิตร การปรับแต่งคีย์เวิร์ด การใช้ Assets การปรับปรุงหน้า Landing Page หรือการตั้งค่า Targeting ที่ละเอียดขึ้น ทั้งหมดนี้จะช่วยให้คุณใช้เงินในการโฆษณาได้อย่างคุ้มค่าและได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
อย่าลืมว่าเอเจนซี่โฆษณาออนไลน์ เขา Optimize แคมเปญอย่างสม่ำเสมอ คุณก็จำเป็นต้องทำเหมือนกัน เพื่อที่จะทำให้แคมเปญโฆษณาของคุณสามารถสู้กับแคมเปญโฆษณาของคู่แข่งรายอื่นได้
ส่งข้อมูลถึงเรา
ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!
คุยกับเราทางไลน์
ข้อมูลบริษัท
บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด
79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240
เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0105556135494
Email: contact@smejump.com
Tel: 02-100-6872, 02-100-6873
LINE : @smejump
จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.
เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ