วิธีปรับแต่งแคมเปญโฆษณา Google Ads ยังไงให้ชนะคู่แข่ง
เคล็ดลับการปรับแต่งโฆษณา Google Ads ให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด
การโฆษณาผ่าน Google Ads เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดลูกค้าเข้ามายังเว็บไซต์และเพิ่มยอดขาย แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ผู้ที่ทำโฆษณาต้องรู้จักปรับแต่งโฆษณาและวิเคราะห์ประสิทธิภาพ โดยเฉพาะความเข้าใจการทำงานของ Google Ads เพื่อการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม
ในบทความนี้เขียนจากประสบการณ์ รับทำโฆษณา Google Ads มามากว่า 10 ปี บทความจะกล่าวถึง วิธีการปรับแต่งโฆษณา Google Ads ให้ตรงกลุ่มเป้าหมายด้วย Phrase Match รวมถึงเคล็ดลับในการเขียนข้อความโฆษณา การเลือกใช้เว็บไซต์แทนเฟซบุ๊กเพจ การเพิ่มคะแนนคุณภาพ (Quality Score) และการวัดผลด้วยคอนเวอร์ชั่น
1. ความสำคัญของการใช้ Phrase Match เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
Phrase Match หรือการทำงานแบบวลีเป็นรูปแบบการตั้งค่าคีย์เวิร์ดใน Google Ads ที่ช่วยให้โฆษณาของคุณปรากฏเมื่อผู้ใช้พิมพ์คำค้นหาที่มีลำดับคำและความหมายใกล้เคียงกับคีย์เวิร์ดของคุณ
นอกจากนี้ Google Ads ยังแสดงโฆษณาในคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องหรือมีความหมายคล้ายกันด้วย ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น หากคุณตั้งค่าคีย์เวิร์ด Phrase Match เป็น “รองเท้าวิ่งผู้หญิง” โฆษณาของคุณอาจแสดงในคำค้นหาอย่าง “รองเท้าวิ่งผู้หญิงราคาถูก” หรือ “รองเท้าวิ่งผู้หญิงสำหรับมือใหม่” แต่จะไม่แสดงในคำที่แตกต่างมาก เช่น “รองเท้าวิ่งผู้ชาย” หรือ “เสื้อผ้าวิ่งผู้หญิง”
การใช้งาน Phrase Match แบบนี้ช่วยให้โฆษณาของคุณเน้นเข้าถึงกลุ่มที่มีความต้องการที่สอดคล้องกัน และยังควบคุมความกว้างของการแสดงผลเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
การใช้ Phrase Match ช่วยให้คุณคัดกรองกลุ่มผู้ชมได้ดียิ่งขึ้น ไม่จำเป็นต้องแสดงโฆษณาในคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยประหยัดงบโฆษณาและเพิ่มโอกาสในการเพิ่มคอนเวอร์ชั่นเนื่องจากเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม
คำแนะนำสำหรับการปรับแต่ง Google Ads
สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำโฆษณา Google Ads ควรเริ่มต้นด้วยการใช้คีย์เวิร์ดแบบวลี (Phrase Match) แทนที่จะใช้คีย์เวิร์ดแบบกว้าง (Broad Match) เพราะการใช้คีย์เวิร์ดแบบวลีช่วยให้การแสดงโฆษณามีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ลดการแสดงในคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้อง และเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญได้ดีกว่า
วิธีตั้งค่า Phrase Match ใน Google Ads
ในการตั้งค่า Phrase Match บน Google Ads ให้ทำดังนี้
1. เข้าสู่ระบบ Google Ads และเลือกแคมเปญที่คุณต้องการ
2. ไปที่การตั้งค่าคีย์เวิร์ดและเลือก คีย์เวิร์ดแบบวลี หรือ Phrase Match
3. ระบุคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการ เช่น “รองเท้าวิ่งผู้หญิง” โดยใส่เครื่องหมายคำพูด “…” เพื่อระบุว่าเป็นการทำงานแบบวลี
4. ตรวจสอบว่าคีย์เวิร์ดนี้ช่วยให้กลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องเข้าถึงโฆษณาได้หรือไม่ โดยสามารถวิเคราะห์จากผลการค้นหาที่โฆษณาแสดง
2. การเขียนข้อความโฆษณาที่หลากหลาย สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย
การเขียนข้อความโฆษณาที่สื่อถึงจุดเด่นของสินค้าและบริการจะช่วยดึงดูดลูกค้าให้คลิกเข้าเว็บไซต์ได้ดีขึ้น เคล็ดลับสำคัญคือ ให้คุณจินตนาการว่าโฆษณาของคุณจะแสดงใกล้กับข้อความโฆษณาของคู่แข่งบนหน้าค้นหา คุณจะเขียนอย่างไรให้โฆษณาของคุณโดดเด่นและดึงดูดความสนใจ เพื่อให้ลูกค้าคลิกที่โฆษณาของคุณแทน
นอกจากนี้ การมีข้อความโฆษณาที่หลากหลายยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทดสอบ (A/B Testing) ว่าข้อความใดทำงานได้ดีในกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม เช่น การใช้ข้อความโฆษณาที่แสดงถึงโปรโมชั่นเฉพาะ หรือคุณสมบัติพิเศษของสินค้า
เคล็ดลับในการเขียนข้อความโฆษณา
1. ระบุข้อเสนอที่น่าสนใจ เช่น ส่วนลดพิเศษ การจัดส่งฟรี หรือการรับประกันสินค้า เพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมสนใจและคลิกโฆษณา
2. ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและตรงประเด็น การใช้ภาษาที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทำให้ผู้ชมเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าคุณมีอะไรเสนอให้พวกเขา
3. สร้างความน่าเชื่อถือ ด้วยการเพิ่มการรับรองหรือคำวิจารณ์จากลูกค้าที่พึงพอใจ เพื่อเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกมั่นใจและอยากเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น
การเขียนข้อความที่ชัดเจนและตรงกลุ่มเป้าหมาย และสอดคล้องกับคีย์เวิร์ดที่ใช้ทำโฆษณา ยังช่วยให้คะแนนคุณภาพ (Quality Score) เพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลต่อการแสดงผลโฆษณาและค่าใช้จ่ายในการคลิกโฆษณา
3. เลือกใช้เว็บไซต์แทนเฟซบุ๊กเพจในการทำโฆษณา
หลายธุรกิจใช้เฟซบุ๊กเพจเป็นช่องทางหลักในการติดต่อกับลูกค้า แต่สำหรับโฆษณา Google Ads นั้น การแสดงโฆษณาด้วยเว็บไซต์ มีประสิทธิภาพมากกว่า เนื่องจากเว็บไซต์สามารถนำเสนอข้อมูลและบริการได้ละเอียดกว่า
ทั้งยังมีโครงสร้างที่เหมาะกับการติดตามคอนเวอร์ชั่นได้ดีกว่าเฟซบุ๊กเพจ เพราะเราสามารถวางโค้ดสำหรับวัดผลลัพธ์ในหน้าต่างๆบนเว็บไซต์ ซึ่งไม่สามารถทำได้บนหน้าเฟซบุ๊กเพจ
ข้อดีของการใช้เว็บไซต์ในการทำโฆษณา
1. การออกแบบที่ยืดหยุ่นและละเอียดกว่า คุณสามารถสร้างหน้า Landing Page ที่มีข้อมูลเพียงพอเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายหรือลงทะเบียน
2. การติดตามผลที่แม่นยำยิ่งขึ้น การวัดคอนเวอร์ชั่นและการใช้งาน Google Analytics จะช่วยให้คุณได้ข้อมูลที่แม่นยำ เช่น อัตราการคลิกและพฤติกรรมของผู้ใช้
3. เพิ่มโอกาสใน SEO การโฆษณาผ่าน Google Ads ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างทราฟฟิกให้กับเว็บไซต์ แต่ยังมีส่วนช่วยในการปรับปรุง SEO ให้ดีขึ้นอีกด้วย การมีเว็บไซต์ทำให้ธุรกิจสามารถติดอันดับในผลการค้นหาของ Google ได้ง่ายขึ้นเมื่อมีการทำ SEO เพิ่มเติม โดยการเพิ่มทราฟฟิกที่มาจากโฆษณาช่วยให้เว็บไซต์มีผู้เข้าชมมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการจัดอันดับบนหน้า Google
นอกจากนี้ การปรับปรุงคุณภาพของหน้า Landing Page เพื่อให้เข้ากับโฆษณายังสามารถส่งเสริมคะแนน SEO ได้เช่นกัน
เว็บไซต์ยังเป็นช่องทางที่สามารถปรับปรุงคะแนนคุณภาพ (Quality Score) ใน Google Ads ได้ดีกว่าเฟซบุ๊กเพจอีกด้วย เนื่องจากเว็บไซต์สามารถเพิ่มประสบการณ์ใช้งานที่ดีให้กับผู้ชม และคุณยังสามารถปรับแต่งหรือเพิ่มคอนเทนต์บนเว็บไซต์ตามคีย์เวิร์ดที่ใช้ในการทำโฆษณา ซึ่งการปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดเหล่านี้จะช่วยให้คะแนนคุณภาพดีขึ้น และจะช่วยให้ค่าใช้จ่ายโฆษณาลดลงและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
4. โฟกัสที่คะแนนคุณภาพ (Quality Score) เพื่อเพิ่มผลลัพธ์ของโฆษณา
คะแนนคุณภาพ (Quality Score) เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ Google ใช้ในการจัดอันดับโฆษณา คะแนนคุณภาพที่สูงไม่เพียงแต่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายต่อคลิก (CPC) แต่ยังช่วยให้โฆษณาของคุณปรากฏในตำแหน่งที่ดีขึ้น สำหรับผู้ที่มีงบโฆษณาจำกัด การมุ่งเน้นที่การเพิ่มคะแนนคุณภาพจึงมีความสำคัญมากกว่าการเพิ่ม Bid เพราะการเพิ่ม Bid ควรเป็นทางเลือกสุดท้าย
นอกจากนี้ การเพิ่มคะแนนคุณภาพสามารถทำได้โดยการปรับปรุงหลายด้าน เช่น การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม การเขียนข้อความที่ตรงประเด็น และการสร้าง Landing Page ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การโฟกัสที่การทำให้คะแนนคุณภาพสูงขึ้นจะช่วยให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มงบโฆษณามากเกินไป
วิธีเพิ่มคะแนนคุณภาพ
1. เลือกคีย์เวิร์ดที่สอดคล้องกับข้อความโฆษณาและหน้า Landing Page การเชื่อมโยงนี้จะช่วยให้ Google มองว่าโฆษณาของคุณเกี่ยวข้องและมีประโยชน์ต่อผู้ชม
2. ปรับปรุงประสบการณ์หน้า Landing Page โดยให้ผู้ชมได้รับข้อมูลที่ตรงความต้องการและมีประสบการณ์การใช้งานที่ดี เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บที่รวดเร็ว และการออกแบบที่เข้าใจง่าย
3. ปรับข้อความโฆษณาให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และทดสอบโฆษณาหลากหลายแบบเพื่อค้นหาสิ่งที่ดีที่สุดในการเพิ่มการคลิก
การพัฒนาคะแนนคุณภาพที่ดีจะช่วยให้คุณสามารถประหยัดงบประมาณโฆษณาและเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม คุณสามารถเพิ่มคอลัมน์คะแนนคุณภาพในหน้า Google Ads เพื่อศึกษาดูว่าคีย์เวิร์ดตัวใดมีคะแนนคุณภาพต่ำ และควรทำการปรับปรุงคอนเทนต์ให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดเหล่านั้น เพื่อเพิ่มคะแนนคุณภาพและประสิทธิภาพของโฆษณาให้สูงขึ้น
5. วัดผลด้วยคอนเวอร์ชั่น (Conversion) เพื่อประเมินความสำเร็จของแคมเปญ
คอนเวอร์ชั่น (Conversion) เป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดของการทำโฆษณา Google Ads เพราะเราไม่ได้ต้องการเพียงแค่จำนวนคลิก แต่เราต้องการการกระทำที่มีความหมาย เช่น การซื้อสินค้า การกรอกแบบฟอร์ม หรือการสมัครรับข่าวสาร การวัดคอนเวอร์ชั่นช่วยให้คุณทราบได้ว่าการคลิกของผู้ชมได้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นการทำกิจกรรมที่คุณคาดหวังหรือไม่
การติดตามคอนเวอร์ชั่นสามารถทำได้ผ่าน Google Ads หรือ Google Analytics ซึ่งช่วยให้คุณเห็นว่าโฆษณาใดทำงานได้ดีและเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายได้มากขึ้น
วิธีติดตามคอนเวอร์ชั่นใน Google Ads
1. ไปที่แคมเปญ Google Ads ที่คุณต้องการติดตามและตั้งค่าการติดตามคอนเวอร์ชั่น
2. เลือกเหตุการณ์ที่คุณต้องการติดตาม เช่น การซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก หรือการดาวน์โหลด
3. ใช้ Google Analytics เพื่อตรวจสอบรายละเอียด
ส่งข้อมูลถึงเรา
ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!
คุยกับเราทางไลน์
ข้อมูลบริษัท
บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด
79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240
เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0105556135494
Email: contact@smejump.com
Tel: 02-100-6872, 02-100-6873
LINE : @smejump
จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.
เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ