พลาดไม่ได้! เทคนิคการทำ Google Ads

เทคนิคการทำ Google Ads ให้ประสบความสำเร็จ มืออาชีพเข้าทำกันยังไงต้องดู

เปิด เทคนิคการทำ Google Ads ให้ประสบความสำเร็จ

SMEJUMP บริษัทรับทำการตลาดออนไลน์ที่เชี่ยวชาญในการทำโฆษณา Google Ads เรานำเสนอเทคนิคการทำ Google Ads ซึ่งมาจากประสบการณ์การทำแคมเปญโฆษณา Search Ads ที่ได้ผลลัพธ์ดี และบางส่วนได้รับการสนับสนุนจากคำแนะนำของทีมงาน Google Ads เพื่อช่วยทำให้แคมเปญโฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จในการทำโฆษณาออนไลน์

5 เทคนิคการทำ Google Ads

1. การใส่คีย์เวิร์ดในข้อความโฆษณา

คีย์เวิร์ดเป็นหัวใจสำคัญในการทำโฆษณาผ่าน Google Ads เพราะเป็นตัวกำหนดว่าผู้ใช้ที่ค้นหาคำใดจะเห็นโฆษณาของคุณ การใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องในข้อความโฆษณาเป็นสิ่งสำคัญ เทคนิคนี้จะช่วยทำให้ข้อความโฆษณาโดดเด่นและสอดคล้องกับคำค้นหาที่ลูกค้าพิมพ์เข้ามา

ในเชิงจิตวิทยา หากลูกค้าพิมพ์คำค้นหา เช่น “เอเจนซี่โฆษณา” สายตาของลูกค้าก็จะมองหาคำนี้บนหน้าผลลัพธ์ของ Google Search การที่เราใส่คีย์เวิร์ดนี้ลงไปในข้อความโฆษณาจะช่วยดึงดูดสายตาผู้ค้นหา และเพิ่มโอกาสในการคลิกมาที่โฆษณาของเรา คำแนะนำในการใช้คีย์เวิร์ดมีดังนี้:

ใส่คีย์เวิร์ดใน Headline: หัวข้อ (headline) ควรมีคีย์เวิร์ดหลัก เพื่อให้ผู้ค้นหาเห็นว่าข้อความโฆษณาของคุณตรงกับสิ่งที่พวกเขากำลังมองหา การใส่คีย์เวิร์ดในข้อความโฆษณาหรือ Headline ยังช่วยทำให้คะแนนคุณภาพ (Quality Score) สูงขึ้นอีกด้วย เพราะปัจจัยที่มีผลต่อ Quality Score คือความสอดคล้องของโฆษณา
อย่าใส่คีย์เวิร์ดมากเกินไป: การใช้คีย์เวิร์ดมากเกินไปอาจทำให้ข้อความดูไม่เป็นธรรมชาติและเสียคุณภาพ ควรใส่แบบพอดีและสร้างสรรค์ข้อความให้น่าอ่าน หลักการในการเขียน Headline ควรใช้คำที่หลากหลาย เพื่อช่วยแสดงข้อมูลที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม เราอาจใช้คำที่มีความหมายคล้ายคีย์เวิร์ดเพิ่มเติมเข้าไป แทนที่จะเขียนคีย์เวิร์ดตัวเดียวซ้ำๆ ในทุกๆ Headline

Best Practice: ไม่ว่าคุณจะมีไอเดียในการเขียนข้อความโฆษณาแบบไหนก็ตาม หรือทำตามเทคนิคข้างต้นที่แนะนำ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือการทดสอบและดูผลลัพธ์ของการแสดงข้อความโฆษณาแต่ละแบบ

โดยดูจากเปอร์เซ็นต์การคลิก หรือ CTR (Click-Through Rate) ยิ่งมีเปอร์เซ็นต์สูงยิ่งดี ค่าเฉลี่ยของ CTR อยู่ที่ประมาณ 7% หากข้อความโฆษณามีค่า CTR สูงกว่านี้ ถือว่าข้อความโฆษณาทำงานได้ดี ควรทำ A/B Testing เพื่อทดสอบข้อความโฆษณาหลายเวอร์ชัน โดยเปลี่ยนคีย์เวิร์ดหรือข้อความบางส่วน เพื่อหาคำที่มีผลการตอบรับดีที่สุด

2. การเลือกใช้คีย์เวิร์ด Phrase Match และ Exact Match ดีกว่าการใช้ Broad Match

คีย์เวิร์ดมีหลายประเภทในการเลือกใช้งาน แต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน คำแนะนำคือเลี่ยงการใช้คีย์เวิร์ดการทำงานแบบกว้าง หรือ Broad Match เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา Google Ads มักจะแสดงโฆษณาในคำค้นหาที่กว้างเกินไปและอาจจะไม่ตรงกับกลุ่มคำที่คุณต้องการ

โดยเฉพาะถ้าคุณสร้างแคมเปญที่เน้นจำนวนคลิก การเลือกใช้ Phrase Match และ Exact Match จะช่วยให้การโฆษณาของคุณมีความแม่นยำมากขึ้นและลดโอกาสที่จะเสียค่าโฆษณาโดยไม่จำเป็น:

Phrase Match: ช่วยให้โฆษณาของคุณแสดงเมื่อมีการค้นหาที่มีความหมายใกล้เคียงกับคำค้นหา เหมาะสำหรับการกรองการค้นหาที่เกี่ยวข้องโดยยังคงยืดหยุ่น โดยการใส่สัญลักษณ์ “…” ครอบคีย์เวิร์ดที่ต้องการ เพื่อควบคุมการแสดงโฆษณา
Exact Match: โฆษณาจะปรากฏเฉพาะเมื่อคำค้นหาตรงกับคีย์เวิร์ดแบบตรงเป๊ะ ช่วยให้การแสดงผลแม่นยำและเข้าถึงผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าสูง โดยการใส่สัญลักษณ์ […] ครอบคีย์เวิร์ดที่ต้องการ เพื่อควบคุมการแสดงโฆษณา

การใช้ Broad Match อาจทำให้โฆษณาแสดงผลในคำที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่คุณตั้งแคมเปญเป็นคอนเวอร์ชั่น การใช้ Broad Match จะช่วยทำให้คุณได้คอนเวอร์ชั่นมากขึ้น และเป็นวิธีที่แนะนำให้เลือกใช้ Broad Match

Best Practice: เริ่มต้นด้วย Phrase Match และ Exact Match ในแคมเปญใหม่ จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลและขยายการใช้คีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพเมื่อคุณได้ข้อมูลเพิ่มเติม เมื่อแคมเปญของคุณรันโฆษณามาได้ระดับหนึ่ง และคุณต้องการที่จะ Scale Up แคมเปญ คุณอาจพิจารณาเลือกใช้คีย์เวิร์ด Broad Match คู่กับการนำเสนอราคาแบบคอนเวอร์ชั่น เพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายผลลัพธ์และการเติบโตของคอนเวอร์ชั่นให้มากยิ่งขึ้น

3. การทำ Negative Keyword

Negative Keyword หรือคีย์เวิร์ดเชิงลบ เป็นวิธีการป้องกันไม่ให้โฆษณาของคุณแสดงในคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้อง ช่วยประหยัดงบประมาณและเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ ผู้เขียนแนะนำให้เข้ามาในแคมเปญและทำคีย์เวิร์ดเชิงลบทุกๆ 7 วัน หรือ ทุกๆ 14 วัน เพื่อปรับแต่งแคมเปญให้แสดงโฆษณาตรงกับกลุ่มคำที่ต้องการ ซึ่งจะช่วยทำให้ค่าเปอร์เซ็นต์การคลิก หรือ CTR สูงขึ้น และส่งผลให้คะแนนคุณภาพของแคมเปญดีขึ้นอีกด้วย:

ตัวอย่างการใช้: หากคุณขายเครื่องครัวและไม่ต้องการให้โฆษณาแสดงเมื่อมีการค้นหาคำว่า “เครื่องครัวมือสอง” คุณสามารถเพิ่มคำว่า “มือสอง” เป็นคีย์เวิร์ดลบได้
วิธีหา Negative Keyword: ใช้ Search Term Report เพื่อดูคำค้นหาที่ผู้ใช้งานใช้จริง แล้วเลือกคำที่ไม่เกี่ยวข้องมาใส่ในรายการคีย์เวิร์ดลบ

Best Practice: อัปเดตรายการคีย์เวิร์ดเชิงลบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและลดการคลิกที่ไม่เกี่ยวข้อง ในการทำคีย์เวิร์ดเชิงลบ ให้คุณเข้าไปที่ข้อความค้นหา เพื่อศึกษาคำค้นหาที่ลูกค้าพิมพ์เข้ามา และทำการเลือกคำที่ไม่เกี่ยวข้องเพื่อทำคีย์เวิร์ดเชิงลบ

4. การใช้ Assets หรือส่วนขยายเพิ่มเติมในข้อความโฆษณา

ฟีเจอร์ Assets จะช่วยให้แสดงข้อมูลที่หลากหลายมากขึ้นบนข้อความโฆษณา ซึ่งจะทำให้ข้อความโฆษณามีความน่าสนใจมากขึ้น ตามคำแนะนำของทีมงาน Google Ads คุณควรเลือกใช้ Assets อย่างน้อย 4 ประเภทสำหรับข้อความโฆษณา Google Ads ของคุณ การใช้ส่วนขยาย (assets) ช่วยเพิ่มความน่าสนใจและข้อมูลเพิ่มเติมในโฆษณา ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) ได้มากขึ้น โดยมีส่วนขยายที่ควรใช้ดังนี้:

Sitelinks: ลิงก์เสริมที่แสดงภายใต้โฆษณาหลัก สามารถลิงก์ไปยังหน้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น หน้าโปรโมชั่น หรือติดต่อเรา
Call Out: ข้อความสั้นๆ ที่บอกจุดเด่นของสินค้า/บริการ เช่น “จัดส่งฟรี” หรือ “มีบริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง”
Call Extension: เพิ่มหมายเลขโทรศัพท์ในโฆษณา ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อได้โดยตรง
Location Extension: แสดงที่ตั้งธุรกิจ ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงธุรกิจของคุณง่ายขึ้น โดยแสดงในรูปแบบแผนที่ร้านค้าที่ปักหมุดบน Google Map
Structured Snippet: ใช้เพื่อแสดงรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น บริการที่มี หรือแบรนด์ที่จำหน่าย เป็นข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งจะมีเป็นประเภทของข้อมูล อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนี้อาจจะไม่เหมาะกับบางธุรกิจ
Image Extension: เพิ่มภาพประกอบในโฆษณา ช่วยดึงดูดสายตามากขึ้น และเป็น Assets ที่แนะนำให้ทำ โดยคุณจะใช้ฟีเจอร์นี้ได้ บัญชีโฆษณาของคุณต้องมีอายุมากกว่า 90 วัน และต้องมีการรันโฆษณามาอย่างต่อเนื่อง

Best Practice: ใช้ส่วนขยายให้หลากหลายและเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของแคมเปญ เพื่อเพิ่มโอกาสการคลิกและดึงดูดความสนใจ โดยเลือกใช้อย่างน้อย 4 ประเภท

5. Landing Page ที่เหมาะสมและมีคอนเทนต์สอดคล้องกับคีย์เวิร์ด

Landing Page คือหน้าที่ผู้ใช้งานถูกนำไปหลังจากคลิกที่โฆษณา Landing Page เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดคอนเวอร์ชั่น ส่วนข้อความโฆษณาเป็นปัจจัยให้ลูกค้าคลิกเข้ามา การทำให้หน้า Landing Page มีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดและข้อความโฆษณาช่วยเพิ่มคะแนนคุณภาพและประสิทธิภาพของโฆษณา:

ความสอดคล้องของคอนเทนต์: คอนเทนต์ควรมีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับโฆษณาเพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีและไม่รู้สึกว่าหลงทาง คอนเทนต์บนหน้า Landing Page เป็นสิ่งที่สำคัญมากเพื่อให้ผู้ที่เข้ามาพึงพอใจ และเพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อหรือติดต่อเข้ามา คอนเทนต์ต้องสอดคล้องกับคีย์เวิร์ด และข้อความโฆษณาที่ลูกค้าคลิกเข้ามา และต้องมีข้อมูลครบถ้วนเพื่อตอบโจทย์การค้นหาข้อมูลของลูกค้า
ความเร็วในการโหลด: หน้า Landing Page ควรโหลดเร็วเพื่อลดอัตราการออกจากเว็บไซต์โดยทันที (bounce rate) นอกจากความเร็วแล้ว ควรเน้นเรื่องความปลอดภัยโดยการใช้ SSL สร้างความมั่นใจให้กับคนที่เข้ามาในเว็บไซต์ของคุณ
รองรับการใช้งานบนมือถือ: ตรวจสอบให้มั่นใจว่า Landing Page แสดงผลได้ดีบนอุปกรณ์มือถือ ลูกค้าสามารถอ่านคอนเทนต์ได้ง่าย คลิกปุ่มต่างๆได้สะดวก

Best Practice: ใช้ Google Analytics และ Google Tag Manager เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใช้งานบนหน้า Landing Page และปรับปรุงให้เหมาะสมตามข้อมูลที่ได้รับ

การทำแคมเปญ Google Ads ให้ประสบความสำเร็จ: การวิเคราะห์และปรับปรุง

การทำโฆษณาไม่ใช่แค่ตั้งค่าแล้วปล่อยทิ้งไว้ เคล็ดลับที่สำคัญคือ การวิเคราะห์และปรับแต่งตามผลลัพธ์ ไม่ว่าคุณจะทำตามทฤษฎีที่แนะนำมากแค่ไหน มันก็ไม่ได้รับประกันว่า การทำ Google Ads ของคุณจะประสบความสำเร็จ สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปคือ การวิเคราะห์ข้อมูลผลลัพธ์ของโฆษณา และปรับแต่งอย่างสม่ำเสมอตามข้อมูลที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา:

วิเคราะห์ CTR และ Conversion Rate เพื่อดูว่าคีย์เวิร์ดและข้อความโฆษณาทำงานได้ดีแค่ไหน
ปรับงบประมาณและการประมูล (bidding strategy) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด อาจจะเริ่มจากการประมูลเน้นจำนวนคลิก แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นคอนเวอร์ชั่น
ทดลองและปรับปรุง A/B Testing เพื่อทดสอบแนวทางที่แตกต่างแล้วเลือกสิ่งที่ได้ผลที่สุด เช่น การใช้ 2-3 Landing Page ในการทำโฆษณา และวัดผลลัพธ์เปรียบเทียบ

ด้วยการใช้เทคนิคเหล่านี้ คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาบน Google Ads ได้อย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่วางไว้.

ส่งข้อมูลถึงเรา

ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!

คุยกับเราทางไลน์

เพิ่มเพื่อน

ข้อมูลบริษัท

บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด 

79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240

เลขประจำตัวผู้เสียภาษี  0105556135494

Email: contact@smejump.com

Tel: 02-100-6872, 02-100-6873

LINE : @smejump

จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.

เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ