แนวทางใช้ Google Trends สำหรับธุรกิจ SME
วิธีใช้ Google Trends สำหรับธุรกิจ SME มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร?
วิธีใช้ Google Trends สำหรับธุรกิจ SME
Google Trends คืออะไร และมีประโยชน์ต่อธุรกิจ SME อย่างไร?
Google Trends เป็นเครื่องมือฟรีจาก Google ที่ช่วยให้ธุรกิจ SME สามารถค้นหาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มการค้นหาออนไลน์ของผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะในบริบทของกลุ่มลูกค้าชาวไทย ธุรกิจขนาดเล็กหรือ SME ซึ่งมักมีทรัพยากรจำกัดสามารถใช้เครื่องมือนี้ในการศึกษาความสนใจของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
SME Jump รับทำการตลาดออนไลน์ เราขอนำเสนอบทความ การใช้ Google Trends สำหรับธุรกิจ SME เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจได้ว่า ผู้บริโภคในประเทศไทยกำลังสนใจเรื่องใดบ้างในช่วงเวลาต่าง ๆ และสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปประยุกต์ใช้กับการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด เช่น การเขียนเนื้อหา (Content), การโพสต์บนโซเชียลมีเดีย หรือการจัดโปรโมชั่นเฉพาะช่วงเวลา
สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ อาจมีเครื่องมือที่ซับซ้อนและแม่นยำมากขึ้นในการวิเคราะห์ข้อมูล แต่สำหรับ SME แล้ว Google Trends ถือว่าเป็นเครื่องมือที่คุ้มค่าและตอบโจทย์อย่างมากในการเริ่มต้นทำตลาดออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีการใช้งาน Google Trends เบื้องต้น
ขั้นตอนเริ่มต้น:
- เปิดเว็บเบราว์เซอร์แล้วพิมพ์คำว่า “Google Trend”
- คลิกเข้าไปที่ผลลัพธ์แรกที่ขึ้น ซึ่ง URL จะเป็น trends.google.com
- เมื่อเข้าสู่หน้าเว็บ จะพบกับ 3 เมนูหลัก ได้แก่ “สำรวจ (Explore)”, “กำลังมาแรง (Trending Now)” และ “1 ปีการค้นหา (Year in Search)”
1. สำรวจ (Explore): การค้นหาและเปรียบเทียบแนวโน้มคำค้นหา
เมนู “สำรวจ” เป็นส่วนที่ผู้ใช้งานสามารถค้นหาคำหลัก (Keywords) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเพื่อดูว่าแนวโน้มความสนใจของผู้คนเป็นอย่างไร โดยสามารถทำได้ดังนี้:
- พิมพ์คำที่เกี่ยวข้องกับสินค้า/บริการ เช่น “กาแฟสด”, “ชาเขียว”, “โกโก้เย็น” เพื่อดูว่าคำใดได้รับความสนใจมากที่สุดในช่วงเวลาที่กำหนด
- ผลลัพธ์จะแสดงเป็นกราฟที่มีช่วงเวลาและสเกลระหว่าง 0 ถึง 100 (100 คือมีความสนใจสูงสุด)
- สามารถเพิ่มคำค้นหาเพื่อเปรียบเทียบหลายคำพร้อมกัน โดยกราฟจะแสดงเป็นเส้นสีต่าง ๆ
ตัวอย่าง: หากคุณเป็นเจ้าของร้านกาแฟและต้องการทราบว่าเมนูใดน่าสนใจในสายตาลูกค้า คุณอาจเปรียบเทียบคำว่า “กาแฟสด” กับ “ชาเขียว” ซึ่งพบว่า “ชาเขียว” ได้รับความสนใจจากคนไทยมากกว่า
ประโยชน์:
- นำข้อมูลไปใช้ในการออกแบบโปรโมชั่น หรือสร้างโพสต์ที่ตอบโจทย์ความสนใจของตลาด
- เช่น ธุรกิจครีมกันแดดสามารถตรวจสอบได้ว่าคำว่า “ครีมกันแดด” มีแนวโน้มถูกค้นหามากที่สุดช่วงก่อนสงกรานต์ จึงควรเตรียมสต็อกและโปรโมชั่นในช่วงมีนาคม
2. กำลังมาแรง (Trending Now): ดูกระแสความสนใจล่าสุด
เมนูนี้จะแสดงคำที่มีปริมาณการค้นหาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลา 24 หรือ 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนกระแสที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม
ประโยชน์:
- ธุรกิจสามารถเกาะกระแสโดยการสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเทรนด์ที่กำลังมาแรง เช่น สร้างโพสต์บน Facebook หรือ TikTok หรือเลือกคำที่เกี่ยวข้องสำหรับใช้ยิงโฆษณาออนไลน์
ตัวอย่าง:
- ในช่วงวันที่หวยออก คำอย่าง “ลอตเตอรี่” หรือ “เลขเด็ด” จะถูกค้นหาอย่างมาก ธุรกิจอาจใช้โอกาสนี้ในการโพสต์โปรโมชั่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ส่วนลดเมื่อซื้อสินค้าด้วยเลขท้ายของงวดนั้น ๆ
3. 1 ปีการค้นหา (Year in Search): สรุปแนวโน้มการค้นหายอดนิยมประจำปี
เมนูนี้เป็นแหล่งข้อมูลที่รวบรวมเทรนด์การค้นหายอดนิยมของผู้ใช้งาน Google ตลอดทั้งปี และจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ เช่น:
- บุคคลที่ได้รับความนิยม
- ข่าวเด่น
- ภาพยนตร์และรายการบันเทิง
ประโยชน์:
- ธุรกิจสามารถดูแนวโน้มความสนใจในปีที่ผ่านมา เพื่อนำไปวางแผนการตลาดในปีถัดไปให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค
- ตัวอย่างเช่น หากหมวดหมู่ “อาหารสุขภาพ” เป็นหนึ่งในคำค้นหายอดนิยม ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สุขภาพสามารถนำข้อมูลนี้ไปวางกลยุทธ์ได้
สรุป: วิธีใช้ Google Trends สำหรับธุรกิจ SME
Google Trends เป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่าย ฟรี และเต็มไปด้วยข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการวางแผนการตลาดออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อเสนอแนะ:
- ลองเริ่มต้นใช้ Google Trends กับคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ เพื่อดูว่าควรมุ่งเน้นที่สินค้า/บริการใด
- ใช้ข้อมูลจาก Trending Now เพื่อเกาะกระแสและดึงดูดความสนใจของผู้ติดตาม
- ติดตาม Year in Search ทุกปี เพื่อวางแผนการตลาดระยะยาว
- ผสานข้อมูลจาก Google Trends เข้ากับแผน Content Marketing ของคุณ
เครื่องมืออื่นๆที่ใช้งานฟรีจาก Google
นอกจาก Google Trends แล้ว Google ยังมีเครื่องมือฟรีอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถช่วยให้ธุรกิจ SME ทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนสูงในช่วงเริ่มต้น ต่อไปนี้คือ 5 เครื่องมือที่แนะนำ:
1. Google My Business (Google Business Profile)
เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถลงทะเบียนข้อมูลบน Google Search และ Google Maps ได้ฟรี เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือสำนักงาน เพื่อให้ลูกค้าค้นหาธุรกิจเจอได้ง่าย
- สามารถใส่ข้อมูลเวลาทำการ, เบอร์ติดต่อ, รูปภาพสินค้า/บริการ
- ลูกค้าสามารถรีวิวและให้คะแนนได้ ซึ่งช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ
2. Google Analytics
เป็นเครื่องมือสำหรับติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์
- ดูข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนผู้เข้าชม, แหล่งที่มาของทราฟฟิก, พฤติกรรมบนหน้าเว็บ
- ช่วยให้วางแผนปรับปรุงเนื้อหาเว็บไซต์และการโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. Google Search Console
เหมาะสำหรับผู้ที่มีเว็บไซต์และต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google
- ตรวจสอบการแสดงผลของเว็บไซต์ใน Google Search
- แจ้งเตือนเมื่อมีปัญหากับเว็บไซต์ เช่น ข้อมูลไม่สามารถเข้าถึงได้หรือมี Malware
4. Google Forms
เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างแบบสอบถามหรือแบบฟอร์มต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย
- ใช้เก็บข้อมูลจากลูกค้า เช่น แบบสำรวจความพึงพอใจ หรือแบบสมัครเข้าร่วมกิจกรรม
- ข้อมูลจะถูกรวบรวมไว้ใน Google Sheets โดยอัตโนมัติ ช่วยให้วิเคราะห์ผลได้สะดวก
5. Google Keyword Planner
เป็นเครื่องมือที่อยู่ใน Google Ads แต่สามารถใช้งานฟรีในการค้นหา Keyword ที่มีความนิยมและเหมาะสมกับธุรกิจ
- ช่วยให้วางแผนคีย์เวิร์ดในการทำ SEO หรือ SEM
- แสดงจำนวนการค้นหาเฉลี่ยต่อเดือน และแนวโน้มการแข่งขันของคีย์เวิร์ด
การใช้เครื่องมือเหล่านี้ร่วมกับ Google Trends จะช่วยให้ธุรกิจ SME มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่แม่นยำมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการแข่งขันในโลกดิจิทัลโดยไม่ต้องใช้งบประมาณสูง
สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องการตลาดออนไลน์เพิ่มเติม แนะนำให้ติดตามช่องยูทูป SME JUMP ซึ่งมีเนื้อหาและวิดีโอใหม่ ๆ ทุกสัปดาห์ ช่วยเสริมความรู้และแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการยุคใหม่
ส่งข้อมูลถึงเรา
ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!
คุยกับเราทางไลน์
ข้อมูลบริษัท
บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด
79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240
เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0105556135494
Email: contact@smejump.com
Tel: 02-100-6872, 02-100-6873
LINE : @smejump
จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.
เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ