ทำไม ค่าโฆษณา Google Ads แพงขึ้น?
ค่าโฆษณา Google Ads แพงขึ้น แก้ไขยังไงได้บ้าง
ค่าโฆษณา Google Ads แพงขึ้น? วิธีลดงบแต่ยังได้ผลดี
ค่าโฆษณา Google Ads แพงขึ้น เพราะเหตุผลหลายปัจจัย ที่ส่งผลต่อการแข่งขัน และต้นทุนของโฆษณา เรามาดูเหตุผลหลัก ๆ กัน
เหตุผลที่ค่าโฆษณา Google Ads แพงขึ้น
1. ช่วงการแข่งขันสูงขึ้น (Increased Competition) 🚀
ธุรกิจจำนวนมากขึ้น หันมาทำโฆษณาบน Google Ads ทำให้มีผู้ลงโฆษณาเยอะขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคีย์เวิร์ดยอดนิยม เช่น “ประกันรถยนต์,” “โรงแรมติดทะเล,” หรือ “สินเชื่อบ้าน” เมื่อมีคนต้องการพื้นที่โฆษณามากขึ้น ราคาต่อคลิก (CPC) ก็สูงขึ้น
2. Google ปรับอัลกอริทึม และโครงสร้างโฆษณา
Google พัฒนา AI และระบบ Bidding อย่างต่อเนื่อง ทำให้โฆษณามีประสิทธิภาพดีขึ้น แต่ก็อาจทำให้การแข่งขันเข้มข้นขึ้นด้วยเช่นกัน เช่น
✅ ระบบ Smart Bidding ทำให้โฆษณามีโอกาสแสดงผลสูงขึ้น แต่ก็ดึงดูดให้ธุรกิจต่างๆ มาลงทุน Google Ads เพิ่มขึ้น
✅ Performance Max Campaigns เปิดโอกาสให้แข่งขันกันมากขึ้นในหลากหลายช่องทาง
3. ค่าครองชีพ และเงินเฟ้อ (Inflation) 📈
ในช่วงหลัง ๆ ต้นทุนการดำเนินธุรกิจสูงขึ้นทั่วโลก เช่น ค่าขนส่ง ค่าวัตถุดิบ และค่าแรง ธุรกิจต่าง ๆ จึงทุ่มงบลงโฆษณา เพื่อให้ขายได้มากขึ้น ส่งผลให้ราคาประมูลโฆษณาสูงขึ้นตามไปด้วย
4. การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค 📊
🔍 คนค้นหาข้อมูลเยอะมากขึ้น ก่อนที่จะทำการตัดสินใจซื้อ ทำให้ Conversion ใช้เวลานานขึ้น
📉 อัตราการคลิก (CTR) ลดลงในบางอุตสาหกรรม เพราะคนใช้เวลาหาข้อมูลมากกว่าแต่ก่อน
5. การปรับนโยบายด้านความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy) 🔒
หลังจากที่ Apple อัปเดต iOS 14+ จำกัดการติดตามข้อมูลผ่าน Cookies และ Google เองก็เตรียมยกเลิก Third-party Cookies บน Chrome ภายในปี 2025 ทำให้การกำหนดกลุ่มเป้าหมายยากขึ้น โฆษณาต้องแข่งขัน เพื่อให้แสดงผลกับกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องมากขึ้น
6. คีย์เวิร์ดที่มีศักยภาพสูงขึ้น (High-Value Keywords) 💰
Google ปรับปรุง AI และ Machine Learning ทำให้ระบบรู้ว่าคำไหนมีโอกาสขายดี และดันราคาของคีย์เวิร์ดที่มีโอกาสสร้างยอดขายสูงขึ้น
ดังนั้นแล้ว ค่าโฆษณา Google Ads มีแนวโน้มแพงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการแข่งขันสูงขึ้น แต่ก็ยังมีวิธีลดงบประมาณแต่ได้ผลดีอยู่ ผู้ที่มีความสนใจทำโฆษณา Google Ads หรือจ้างเอเจนซี่รับทำ Google Ads มาลองดูแนวทางกันได้เลย
วิธีลดงบแต่ยังได้ผลดี
1. ปรับปรุง Quality Score ให้สูงขึ้น
คะแนน Quality Score สูงๆ จะช่วยลด CPC (Cost Per Click) ได้ โดยการ
– ปรับข้อความโฆษณา ให้ตรงกับคีย์เวิร์ด
– ใช้หน้า Landing Page ที่โหลดเร็ว และมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด
– เพิ่ม CTR (อัตราการคลิก) ด้วยการใช้ Call-to-Action (CTA) ที่ดึงดูด
2. ใช้ Match Type ให้เหมาะสม
เลือกประเภทคำค้นหา (Match Type) ให้แม่นยำ เพื่อลดการคลิกที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่เกี่ยวข้อง
Exact Match – เหมาะกับคำที่ต้องการให้แสดงผลแบบตรงเป๊ะ
Phrase Match – ควบคุมคำที่เกี่ยวข้องได้ดีขึ้น ประเภทคีย์เวิร์ดที่แนะนำ
Negative Keywords – ตัดคำที่ไม่เกี่ยวข้องออก
3. ใช้ Automated Bidding อย่างมีประสิทธิภาพ
ลองใช้กลยุทธ์เสนอราคาอัตโนมัติ เช่น
Maximize Conversions – ถ้างบโฆษณาจำกัด
Target CPA (Cost Per Acquisition) – ตั้งค่าให้จ่ายตามเป้าหมาย
Target ROAS (Return on Ad Spend) – ถ้าต้องการผลตอบแทนสูง
4. ปรับกลุ่มเป้าหมายให้แม่นยำขึ้น
🎯 ใช้ Audience Targeting เช่น
Remarketing – ยิงโฆษณาซ้ำให้กับคนที่เคยเข้าเว็บไซต์ของคุณ
Customer Match – ใช้ข้อมูลลูกค้า เพื่อยิงโฆษณาไปยังกลุ่มที่คล้ายกัน
In-Market Audience – เลือกกลุ่มที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้า หรือบริการ
5. ทดลองใช้ Performance Max & DSA (Dynamic Search Ads)
✅ Performance Max – ใช้ AI จัดการงบประมาณ และเลือกช่องทางที่คุ้มค่าที่สุด
✅ DSA (โฆษณาค้นหาแบบไดนามิก) – ให้ Google สร้างโฆษณาอัตโนมัติตามเนื้อหาเว็บ
6. ปรับงบโฆษณาให้เหมาะสมกับช่วงเวลา (Dayparting)
📊 วิเคราะห์ช่วงเวลาที่ลูกค้าคลิกเยอะและมี Conversion สูง แล้วปรับงบให้เหมาะสม
ส่งข้อมูลถึงเรา
ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!
คุยกับเราทางไลน์
ข้อมูลบริษัท
บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด
79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240
เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0105556135494
Email: contact@smejump.com
Tel: 02-100-6872, 02-100-6873
LINE : @smejump
จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.
เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ