วิธีการคิด ค่าโฆษณา Facebook คิดยังไง?
ค่าโฆษณา Facebook คิดยังไง ไปดูกันว่าปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ค่าโฆษณาถูกหรือแพง?
ค่าโฆษณา Facebook คิดยังไง
การลงโฆษณาบน Facebook เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลัง แต่คำถามที่ผู้ลงโฆษณาหลายคนสงสัยคือ SMEJUMP บริษัทรับทำการตลาดออนไลน์ และรับทำโฆษณา Facebook Ads เราขอนำเสนอบทความนี้ เราจะอธิบายถึงปัจจัยที่มีผลต่อราคาค่าโฆษณาบน Facebook รวมถึงแนวทางที่ช่วยลดค่าโฆษณา Facebook และศึกษาแนวโน้มราคาค่าโฆษณาในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพื่อเป็นประโยชน์กับผู้ที่ยิงแอด Facebook
ค่าโฆษณา Facebook ถูกหรือแพง ขึ้นอยู่กับอะไร
การทำโฆษณาออนไลน์เกือบทั้งหมด เช่น Google Ads, TikTok Ads, LINE Ads รวมทั้ง Facebook Ads จะกำหนดราคาด้วยระบบประมูล (Bidding) โดยเปรียบเทียบกับผู้แข่งขันลงโฆษณารายอื่นๆ ระบบจะพิจารณาหลายปัจจัยซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละแพลตฟอร์ม สำหรับค่าโฆษณา Facebook ระบบจะพิจารณาจากหลายปัจจัยตามข้อมูลด้านล่างนี้ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมด:
1.การแข่งขันของผู้ลงโฆษณา Facebook (Competition)
การแข่งขันเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดราคาค่าโฆษณา ยิ่งมีผู้ลงโฆษณาในกลุ่มเป้าหมายเดียวกันมาก หรือมีการแข่งขันที่สูง ค่าโฆษณาก็จะยิ่งแพงขึ้น ระบบโฆษณา (Ads Manager) จะต้องทำการประมูลที่สูงขึ้น เพื่อส่งโฆษณาไปแสดงในกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับความนิยมสูง เช่น กลุ่มเป้าหมายคนมีกำลังซื้อในเขตเมืองใหญ่ หรือกลุ่มที่มีความสนใจในเทคโนโลยี iPhone และ Tesla เป็นต้น ซึ่งโดยภาพรวมกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้มักทำให้ราคาค่าโฆษณาสูงกว่ากลุ่มเป้าหมายที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากผู้ลงโฆษณา
2.กลุ่มเป้าหมาย (Target Audience)
จากข้อแรกในเรื่องการแข่งขันของผู้ลงโฆษณา ข้อนี้เป็นรายละเอียดเชิงลึกลงไป ลักษณะของกลุ่มเป้าหมายก็มีผลต่อราคาค่าโฆษณา หากคุณต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง (ซึ่งปกติจะมีจำนวนคนในกลุ่มเป้าหมายน้อยและแคบ) เช่น ผู้หญิงอายุ 25-35 ปี อาศัยในเขตเมืองใหญ่ และสนใจสินค้าแบรนด์เนม ค่าโฆษณาจะสูงกว่ากลุ่มเป้าหมายที่กว้างและทั่วไป กลุ่มเป้าหมายที่กว้าง เช่น ผู้หญิงอายุ 25-35 อาศัยอยู่ทั่วประเทศไทย และมีความสนใจกว้างๆ เช่น สนใจเกี่ยวกับการช้อปปิ้ง เป็นต้น สองกลุ่มเป้าหมายจากตัวอย่างจะมีค่าโฆษณาที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
3.คุณภาพของโฆษณา (Ad Quality)
ข้อนี้สำคัญมาก และเป็นสิ่งที่คนยิงแอดทุกคนควรให้ความสนใจ Facebook ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้ หากโฆษณาของคุณมีคุณภาพต่ำ แสดงโฆษณาไปแล้วกลุ่มเป้าหมายไม่ค่อยสนใจ เช่น มีข้อความที่ไม่น่าสนใจ ไม่ดึงดูด หรือตัวโฆษณาไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย ระบบของ Facebook จะให้คะแนนโฆษณาต่ำเปรียบเทียบกับคู่แข่งลงโฆษณารายอื่น ส่งผลให้คุณต้องจ่ายค่าโฆษณา Facebook ที่สูงขึ้น เพื่อที่จะแสดงโฆษณาในกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการ
4.ช่วงเวลาและเทศกาล (Timing and Seasonality)
ระบบโฆษณา Facebook เป็นระบบประมูล ยิ่งไปกว่านั้นพื้นที่แสดงโฆษณามีจำกัด ดังนั้นในช่วงเวลาที่ธุรกิจนิยมทำโฆษณา ก็ยิ่งส่งผลให้การแข่งขันสูงมากขึ้น เช่น ช่วงเทศกาล วันหยุด หรือเหตุการณ์สำคัญ เช่น 11.11, 12.12, Black Friday หรือช่วงปีใหม่ มักมีการแข่งขันสูงมาก ประกอบกับแพลตฟอร์ม Marketplace ใหญ่ๆ อย่างเช่น Shopee และ Lazada มีการอัดงบโฆษณาในช่วงเทศกาลอย่างรุนแรง ส่งผลให้ราคาค่าโฆษณาพุ่งขึ้น นอกจากนี้ ถ้าดูในรายละเอียดลงไป เวลาในแต่ละวันก็มีผลต่อค่าโฆษณา เช่น การลงโฆษณาช่วงเย็นหรือวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผู้ใช้งานออนไลน์มากๆ มักมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าช่วงเวลาอื่น เพราะผู้ลงโฆษณาส่วนใหญ่ก็จะลงโฆษณาในช่วงเวลานั้นเหมือนกัน
5.ประเภทของแคมเปญและวัตถุประสงค์ (Campaign Type and Objectives)
ค่าโฆษณาจะแตกต่างกันตามประเภทของแคมเปญและวัตถุประสงค์ การทำโฆษณา Facebook จะมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เช่น การรับรู้, จำนวนผู้เข้าชม, การมีส่วนร่วม, ข้อมูลลูกค้า, การโปรโมทแอปพลิเคชัน และยอดขาย ในแต่ละวัตถุประสงค์ก็จะมีรายละเอียดและค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน เช่น แคมเปญที่มุ่งเน้นการแปลงผลลัพธ์ (Conversion) มักมีค่าโฆษณาที่สูงกว่าแคมเปญเพื่อการสร้างการรับรู้ (Awareness)
6.ตำแหน่งโฆษณา (Ad Placement)
การทำโฆษณาในตัวจัดการโฆษณา โฆษณาสามารถไปแสดงในหลายตำแหน่งโฆษณา ตำแหน่งที่โฆษณาปรากฏ เช่น Facebook Feed, Reels, Instagram Stories หรือ Audience Network ซึ่งแต่ละตำแหน่งมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น การแสดงโฆษณาใน Instagram ส่วนใหญ่จะมีค่าโฆษณาที่แพงกว่า การแสดงโฆษณาใน Facebook Feed ดังนั้นการเลือกตำแหน่งที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา และช่วยทำให้ค่าโฆษณาถูกลง โดย Facebook แนะนำให้เลือกให้ระบบนำส่งโฆษณาแบบอัตโนมัติไปทุกตำแหน่งการแสดงผล ระบบจะช่วยทำให้ค่าโฆษณาเหมาะสมมากที่สุด
แนวทางที่ช่วยทำให้ค่าโฆษณา Facebook ถูกลง
ถึงแม้ว่าค่าโฆษณา Facebook จะมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี แต่การทำโฆษณาให้สร้างกำไรให้กับธุรกิจยังคงเป็นไปได้หากมีการวางกลยุทธ์ที่เหมาะสม เราขอนำเสนอแนวทางที่ช่วยลดค่าโฆษณา Facebook ให้ผู้ที่ยิงแอดสามารถนำไปปรับใช้กับแคมเปญโฆษณาของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
- ปรับปรุงคุณภาพของโฆษณา (Improve Ad Quality)
- ทำการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย และนำมาใช้ในการสร้างโฆษณา เช่น ไลฟ์สไตล์, ปัญหา, Pain Point ต่างๆ และคุณอาจจะให้ AI เข้าช่วยในการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย
- ใช้คอนเทนต์ที่ดึงดูดและเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย ถ้าเป็นคอนเทนต์วิดีโอให้เน้นไปที่ 3 วินาทีแรกเพื่อดึงดูดความสนใจ ถ้าเป็นคอนเทนต์ภาพให้เน้นไปที่แคปชันบรรทัดแรก และข้อความพาดหัว
- ทดสอบโฆษณาหลายเวอร์ชัน (A/B Testing) เพื่อหาว่าเวอร์ชันใดได้ผลดีที่สุด
- ใช้ภาพและวิดีโอคุณภาพสูงเพื่อเพิ่ม Engagement โดยสร้างตัวโฆษณาในหลายรูปแบบ เช่น ภาพเดียว ภาพอัลบั้ม วิดีโอสั้น เป็นต้น
- เลือกกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ (Refine Targeting)
- ใช้ Pixel ในการเก็บกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่สนใจ เช่น คนที่เคยเข้าเว็บไซต์ในหน้าเฉพาะ คนที่มีสินค้าอยู่ในตะกร้า หรือคนที่เคยซื้อสินค้าแล้ว
- ใช้ Custom Audiences เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายจากข้อมูลของคุณเอง คุณสามารถสร้างกลุ่มเป้าหมายเฉพาะสำหรับธุรกิจของคุณได้มากกว่าแค่กำหนดความสนใจ เช่น การใช้ข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ และอีเมล เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมาย เป็นต้น
- ใช้ Lookalike Audiences เพื่อเข้าถึงผู้ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับลูกค้าปัจจุบัน วิธีนี้เป็นการขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยอ้างอิงจากข้อมูลลูกค้าเดิมของคุณ เช่น ข้อมูลคนที่เคยกดถูกใจเพจ ข้อมูลคนที่เคยเข้ามาในเว็บไซต์ในหน้าเฉพาะ ข้อมูลของคนที่ลงทะเบียน เป็นต้น
- กำหนดงบประมาณอย่างเหมาะสม (Set Budget Strategically)
- เริ่มต้นแคมเปญโฆษณาด้วยงบประมาณไม่มาก เพื่อทดสอบประสิทธิภาพ ถ้าแคมเปญโฆษณาดูเหมือนไม่ได้ผล ให้คุณปิดแคมเปญ และทดลองสร้างแคมเปญใหม่ ทำการทดสอบไปเรื่อยๆ จนพบแคมเปญโฆษณาที่มีผลลัพธ์ที่ดี จากนั้นเพิ่มงบในแคมเปญที่ทำงานได้ดี เป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยทำให้ค่าโฆษณา Facebook เฉลี่ยถูกลง
- ใช้ Retargeting Ads
- ใช้เทคนิค Retargeting ติดตามผู้ใช้ที่เคยเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์หรือโต้ตอบกับโฆษณาของคุณ เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย วิธีนี้อาจจะไม่ได้ทำให้ค่าโฆษณาต่อคลิก หรือค่าโฆษณาต่อการมีส่วนร่วมถูกลง แต่จะช่วยให้อัตราการปิดการขายเพิ่มขึ้น หรืออัตราคอนเวอร์ชันเพิ่มขึ้น เหตุผลเพราะว่ากลุ่มคนที่โฆษณา Retargeting ไปแสดงคือกลุ่มเป้าหมายที่รู้จักแบรนด์ของคุณแล้ว อาจจะมีความสนใจในสินค้า แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อ การส่งโฆษณาเชิงลึกเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ ช่วยเพิ่มโอกาสการปิดการขายได้มากขึ้น
- เลือกช่วงเวลาลงโฆษณา (Schedule Ads)
- หลีกเลี่ยงช่วงที่มีการแข่งขันสูง เช่น ช่วงเทศกาล และเน้นช่วงที่กลุ่มเป้าหมายออนไลน์ ถ้าคุณมีการวางแผนการทำโฆษณาในระยะยาว คุณจะสามารถจัดสรรงบโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเลี่ยงช่วงเวลาที่การแข่งขันสูงได้ เช่น ช่วงเวลา 11.11 หรือ 12.12 ซึ่งเป็นช่วงที่แบรนด์ใหญ่ๆ รวมทั้งแพลตฟอร์ม Marketplace จะทุ่มงบโฆษณามหาศาลในการโปรโมทสินค้า
- ใช้ Automated Rules และ Campaign Budget Optimization (CBO)
- ถ้าคุณยิงแอด Facebook ด้วยตัวจัดการโฆษณา คุณสามารถเลือกใช้ฟีเจอร์ Advantage Campaign Budget หรือที่รู้จักในชื่อ Campaign Budget Optimization (CBO) ซึ่งเป็นการใช้ฟีเจอร์อัตโนมัติของ Facebook เพื่อปรับแต่งและจัดการงบโฆษณาของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบโฆษณาจะจัดสรรงบโฆษณาตามกลุ่มเป้าหมายที่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่น ถ้าคุณสร้างแคมเปญเพื่อยิงแอด โดยภายใต้แคมเปญมี 2 กลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ระบบจะจัดสรรงบโฆษณาให้อัตโนมัติกับกลุ่มเป้าหมายที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ค่าโฆษณา Facebook ถูกที่สุด
เทรนด์ราคาค่าโฆษณา Facebook ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
อดีต ในช่วงเริ่มต้นของ Facebook Ads ค่าโฆษณายังค่อนข้างต่ำ เนื่องจากจำนวนผู้ลงโฆษณายังน้อย และการแข่งขันไม่รุนแรง
ปัจจุบัน ปัจจุบัน ค่าโฆษณาสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผู้ลงโฆษณาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดที่มีความนิยมสูง เช่น อีคอมเมิร์ซ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของ Facebook เช่น การเพิ่มความโปร่งใสในการเก็บข้อมูล ยังส่งผลต่อการวางกลยุทธ์การโฆษณาให้ซับซ้อนมากขึ้น
อัลกอริทึมของ Facebook ที่ลดการเข้าถึงของโพสต์ทั่วไปกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ธุรกิจต่างๆ ต้องพึ่งพาโฆษณาเพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลให้ค่าโฆษณา Facebook มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อนาคต ค่าโฆษณามีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม Facebook ได้พัฒนา AI และ Machine Learning เพื่อช่วยปรับปรุงการลงโฆษณา ผู้ลงโฆษณาจึงต้องเน้นการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและสร้างสรรค์มากขึ้น นอกจากนี้ คู่แข่งที่สำคัญของ Facebook อย่างเช่น TikTok ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางของราคาค่าโฆษณาในอนาคต
สรุป : ค่าโฆษณา Facebook คิดยังไง
ค่าโฆษณา Facebook ไม่ได้เป็นระบบราคาเดียว แต่เป็นระบบการประมูลแข่งขันกับผู้ลงโฆษณารายอื่นๆ และค่าโฆษณาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น การแข่งขันในตลาด กลุ่มเป้าหมาย คุณภาพของโฆษณา และช่วงเวลา การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้และการใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมสามารถช่วยให้คุณจ่ายค่าโฆษณา Facebook ได้ถูกลง นอกจากนี้ การติดตามแนวโน้ม และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการโฆษณาบน Facebook ในระยะยาว
ส่งข้อมูลถึงเรา
ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!
คุยกับเราทางไลน์
ข้อมูลบริษัท
บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด
79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240
เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0105556135494
Email: contact@smejump.com
Tel: 02-100-6872, 02-100-6873
LINE : @smejump
จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.
เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ