6 ข้อผิดพลาดที่ทำให้คุณตั้งคำถามว่า ทำไมโฆษณาออนไลน์ไม่ได้ผล?

ทำไมโฆษณาออนไลน์ไม่ได้ผล? ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการทำโฆษณาออนไลน์

ทำไมโฆษณาออนไลน์ไม่ได้ผล 6 ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย

ในยุคที่การตลาดออนไลน์กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินธุรกิจ การทำโฆษณาออนไลน์กลายเป็นหัวใจหลักที่ช่วยเพิ่มยอดขาย สร้างการรับรู้ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของการตลาดออนไลน์ทำให้ผู้ประกอบการอาจจะเผชิญข้อผิดพลาดที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณา

SMEJUMP บริษัทรับทำการตลาดออนไลน์ วันนี้เราจะมานำเสนอ 6 ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการทำโฆษณาออนไลน์ เพื่อตอบคำถาม ทำไมโฆษณาออนไลน์ไม่ได้ผล พร้อมแนะนำวิธีแก้ไข เพื่อช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความผิดพลาดและทำให้แคมเปญโฆษณาออนไลน์ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่คุณต้องการ


1. การไม่กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน

หนึ่งในข้อผิดพลาดที่เป็นสาเหตุทำให้โฆษณาออนไลน์ไม่ได้ผล คือการเริ่มต้นแคมเปญโดยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน คนส่วนใหญ่เริ่มทำโฆษณาด้วยความตั้งใจที่จะเพิ่มยอดขาย เช่น ยิงแอดบนเฟซบุ๊ก หรือทำโฆษณา Google Ads แต่กลับไม่ได้ระบุรายละเอียดของเป้าหมายเพิ่มยอดขาย เช่น

  • ต้องการขายสินค้าประเภทใด
  • กลุ่มเป้าหมายคือใคร
  • ต้องการเพิ่มยอดขายเท่าไหร่ และในช่วงเวลาใด

ผลที่ตามมา: การกำหนดเป้าหมายที่คลุมเครือทำให้ไม่สามารถวัดผลได้ชัดเจน ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดที่มักพบบ่อย ซึ่งทำให้การวัดผลลัพธ์ที่ชัดเจนทำไม่ได้ ส่งผลให้ไม่มีข้อมูลว่าแคมเปญโฆษณาที่รันอยู่ มันคุ้มกับเงินที่ลงโฆษณาไปหรือไม่ และไม่มีข้อมูลที่จะช่วยในการปรับปรุงโฆษณาให้ดีขึ้น

ทางแก้ไข: ก่อนเริ่มแคมเปญ ควรกำหนดเป้าหมายให้เฉพาะเจาะจง ใส่รายละเอียดเป็นจำนวนหรือช่วงเวลาเข้าไปในเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น หากต้องการเพิ่มยอดขายสินค้า X ให้ตั้งเป้าว่าจะขายให้กลุ่มลูกค้าอายุ 25-34 ปี และเพิ่มยอดขาย 20% ภายในไตรมาสที่ 2 หรือ หากต้องการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ ก็ควรกำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณ เช่น ทราฟฟิกเพิ่มขึ้น 30% ใน 3 เดือน เป้าหมายที่ชัดเจนช่วยให้คุณวางแผนและวัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน จะช่วยทำให้ทีมงาน และผู้ร่วมงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เอเจนซี่โฆษณา ทีมกราฟฟิก และ ทีมการตลาด เข้าใจเป้าหมายอันเดียวกัน ช่วยทำให้การประสาน และการทำงานร่วมกันมีประสิทธิภาพมากขึ้น


2. การละเลยการศึกษาและวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย

การเข้าใจกลุ่มเป้าหมายเป็นหัวใจสำคัญในการทำโฆษณาออนไลน์ ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยคือ ผู้ประกอบการไม่มีข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย และทำโฆษณาโดยใช้ความรู้สึก หรือคิดเอาเอง โดยไม่รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงเขาสนใจอะไร, มีพฤติกรรมออนไลน์แบบใด หรือ pain point ที่แท้จริงของลูกค้าคืออะไร ปัจจัยเหล่านี้เป็นสาเหตุว่าทำไมโฆษณาออนไลน์ไม่ได้ผล

ผลที่ตามมา: โฆษณาขาดพลังที่จะดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย เพราะโฆษณาแสดงไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ไม่ถูกแพลตฟอร์ม หรือ คอนเทนต์ที่นำเสนอไม่ตอบโจทย์สิ่งที่ลูกค้าต้องการ หรือ ขาดการนำเสนอการแก้ปัญหาที่ลูกค้าคาดหวัง

ทางแก้ไข: เริ่มเก็บข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า และใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล เช่น

  • ระบบ CRM: เพื่อใช้ในการเก็บข้อมูลลูกค้า เช่น ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ประวัติการซื้อสินค้า และข้อมูลต่างๆที่ได้รับจากลูกค้า
  • Google Analytics: เครื่องมือใช้งานได้ฟรีจาก Google ช่วยเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานที่รเข้าชมเว็บไซต์ และสามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เช่น เพศ ช่วงอายุ ความสนใจของกลุ่มคนที่เข้ามาในเว็บไซต์ รวมทั้งคอนเทนต์ที่พวกเขาสนใจบนหน้าเว็บไซต์
  • Facebook Audience Insights: เครื่องมือใช้งานได้ฟรีจาก Facebook เป็นเครื่องในระบบหลังบ้านของ Facebook ที่ผู้ดูแลสามารถเข้าไปอ่านข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มคนที่เข้ามาในเพจเฟซบุ๊ก คุณสามารถวิเคราะห์ความสนใจ อายุ เพศ และพฤติกรรมออนไลน์ของกลุ่มคนเหล่านี้

คำแนะนำเพิ่มเติม: หลังจากทำการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า จากข้อมูลเชิงลึกจากแหล่งข้อมูลต่างๆ คุณอาจจะลองทำ A/B Testing เพื่อทดสอบและศึกษาเพิ่มเติม เช่น เปรียบเทียบกลุ่มเป้าหมายจากข้อมูลเพื่อเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ดีที่สุดในการทำโฆษณา หรือ เปรียบเทียบว่าโฆษณารูปแบบใดที่ตอบสนองกับกลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุด โดยกระบวนการนี้จะเป็นการเรียนรู้ และปรับแต่งโฆษณาอย่างต่อเนื่อง

  • เมื่อได้ข้อมูลและทำการวิเคราะห์
  • นำไปทำ A/B Testing
  • เรียนรู้จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
  • กลับไปเก็บข้อมูลและทำการวิเคราะห์

3. การใช้ข้อความและภาพที่ไม่สื่อถึงแบรนด์

ขาดการให้ความสำคัญของการสื่อสารเกี่ยวกับแบรนด์ ข้อผิดพลาดที่พบหลายครั้งบนตัวโฆษณาคือ โฆษณาที่ใช้ขาดการสื่อสารเกี่ยวกับแบรนด์ บางครั้งโฆษณาที่คุณออกแบบอาจจะดูสวยงามและดึงดูดสายตา แต่กลับไม่สื่อถึงแบรนด์ หรือไม่ชัดเจนว่ากำลังขายอะไร

ผลที่ตามมา: ลูกค้าอาจจำแบรนด์ไม่ได้ หรือไม่เข้าใจจุดขายของสินค้า ในการทำการตลาดออนไลน์ การสร้างแบรนด์เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก และธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงด้านราคา การสร้างแบรนด์ช่วยทำให้ลูกค้าเชื่อมั่น และสร้างความแตกต่างในสายตาของลูกค้า ทำให้การเปรียบเทียบราคาทำได้ยากมากขึ้น ลูกค้านอกจากเปรียบเทียบราคาแล้ว ลูกค้าต้องการสินค้าที่มาจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ เพราะลูกค้ากังวลเรื่องการหลอกลวง มิจฉาชีพบนโลกออนไลน์ ดังนั้น สื่อโฆษณาที่คุณนำเสนอออกมาก จำเป็นต้องมีการสื่อสารความเป็นแบรนด์ในตัวโฆษณาเสมอ

ทางแก้ไข:

  • ใช้ สี ฟอนต์ และสไตล์ ที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์
  • กำหนดธีมของธุรกิจให้ชัดเจน และใช้สีหรือฟอนต์เหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ
  • สร้างข้อความที่กระชับ ดึงดูด และชัดเจนถึงสิ่งที่ต้องการสื่อ

ตัวอย่าง:

  • หากแบรนด์ของคุณเน้นความสดใส แอคทีฟ เช่น ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ อาจใช้สีเขียวและสีเหลืองสดที่สื่อถึงธรรมชาติและความมีชีวิตชีวา
  • แบรนด์ที่ต้องการความน่าเชื่อถือและความมั่นคง เช่น ธุรกิจธนาคาร ควรใช้สีฟ้าและสีเทาที่สื่อถึงความน่าเชื่อถือและความสงบ
  • หากเป็นแบรนด์แฟชั่นวัยรุ่น อาจเลือกใช้ฟอนต์แบบลายมือที่ดูสนุกสนาน พร้อมสีสันสดใสอย่างชมพูและม่วง เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น

4. การไม่ปรับแต่งโฆษณาให้เหมาะกับแพลตฟอร์ม

แต่ละแพลตฟอร์มมีลักษณะเฉพาะตัว และข้อผิดพลาดที่พบบ่อยคือ การใช้โฆษณารูปแบบเดียวกันในทุกๆแพลตฟอร์ม ซึ่งอาจจะเกิดจากการไม่เข้าใจธรรมชาติของแต่ละแพลตฟอร์ม หรือเกิดจากการลดความยุ่งยากในการทำโฆษณา เช่น ใช้วิดีโอ หรือภาพ แบบเดียวกัน ทำโฆษณาทุกแพลตฟอร์มใน Facebook, Instagram และ TikTok

ผลที่ตามมา: ประสิทธิภาพของโฆษณาลดลง หรือ โฆษณาไม่ได้ผลในบางแพลตฟอร์ม เพราะไม่ตอบสนองต่อความต้องการและพฤติกรรมของผู้ใช้ในแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น

  • โฆษณาที่ใช้ใน TikTok ไม่สามารถสร้างการมีส่วนร่วมได้ เนื่องจากเนื้อหาไม่เหมาะกับรูปแบบวิดีโอสั้นที่เน้นความสนุกสนานและการนำเสนอที่รวดเร็ว
  • โฆษณาเดียวกันนี้เมื่อแสดงบน Instagram อาจดูไม่ดึงดูดเพราะไม่ได้ใช้ฟีเจอร์เฉพาะ เช่น การเล่าเรื่องผ่าน Stories หรือ Reels
  • บน Facebook โฆษณาอาจไม่ได้ผลเพราะเนื้อหาไม่กระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมหรือการแชร์ ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของแพลตฟอร์มนี้
  • บน Google Ads โฆษณาอาจล้มเหลวในการดึงดูดคลิก หากข้อความโฆษณาและคำหลักไม่สอดคล้องกับเจตนาของผู้ค้นหา หรือใช้รูปแบบเดียวกับแพลตฟอร์มอื่นโดยไม่คำนึงถึงคำหลักที่ผู้ใช้ต้องการ

ทางแก้ไข:

  • ศึกษาความแตกต่างของแต่ละแพลตฟอร์ม ทั้งลักษณะของแพลตฟอร์ม และพฤติกรรมของผู้ใช้งาน
    • TikTok: เน้นวิดีโอสั้นและความสนุกสนาน คอนเทนต์แนวกระแส
    • Facebook: เหมาะกับเนื้อหาที่มีส่วนร่วม เน้น ไลค์ แชร์ คอมเม้นต์
    • Google Ads: เน้นโฆษณาตรงจุดตามคีย์เวิร์ดที่ค้นหา นำเสนอคอนเทนต์ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดที่ใช้ทำโฆษณา
  • ปรับขนาดของภาพหรือวิดีโอให้เหมาะกับแพลตฟอร์ม เช่น วิดีโอแนวตั้งสำหรับ TikTok และ Instagram Stories

5. การไม่มีการติดตามผลและวัดผลลัพธ์

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยอีกหนึ่งเรื่องคือการไม่ติดตามผลลัพธ์และไม่ปรับปรุงแคมเปญอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่การแข่งขันด้านโฆษณาออนไลน์สูงขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนอัลกอริทึมของแต่ละแพลตฟอร์มที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การละเลยในส่วนนี้อาจทำให้เสียโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณา

ผลที่ตามมา: ไม่สามารถทราบว่าโฆษณาได้ผลแค่ไหน คุ้มค่ากับงบโฆษณาที่ใช้ไปหรือไม่ และไม่รู้ว่าควรปรับปรุงแคมเปญโฆษณาอย่างไร

ทางแก้ไข: ควรมีการติดตามผลลัพธ์สม่ำเสมอ และอาจจะใช้เครื่องมือวัดผลลัพธ์เพิ่มเติมในแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น Google Analytics, Facebook Pixel, TikTok Tracking Code เพื่อวัดผลให้ชัดเจน พร้อมทั้งการเรียนรู้ อัปเดตความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น การศึกษาแนวทางการปรับปรุงโฆษณาตามอัลกอริทึมใหม่ ๆ และเทรนด์ที่กำลังมาแรง

  • ใช้เครื่องมือเช่น Google Tag Manager หรือ Facebook Pixel เพื่อติดตามผลลัพธ์
  • วัดผลลัพธ์จากตัวชี้วัด (KPI) ที่ชัดเจน เช่น
    • อัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate)
    • จำนวนคอนเวอร์ชั่น (Conversions)
    • ต้นทุนต่อคอนเวอร์ชั่น (Cost per Conversion)
    • เปอร์เซ็นต์การคลิก (Click-Through Rate)
    • จำนวนการดูวิดีโอจนจบ (Video Completion Rate)
    • ค่าโฆษณาต่อ 1,000 ครั้งการแสดงผล (CPM)

6. การขาดการปรับปรุงโฆษณาอย่างต่อเนื่อง

การนำเสนอโฆษณาใหม่ๆ อยู่เสมอช่วยสร้างความน่าสนใจให้กับกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น เนื่องจากการนำเสนอโฆษณาใหม่ๆ เพิ่มโอกาสที่คอนเทนต์จะโดนใจ หรือตอบโจทย์สิ่งที่ลูกค้ากำลังค้นหา หรือกำลังประสบปัญหา นอกจากนี้ ความต้องการของลูกค้าอาจเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา ทำให้การปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับความต้องการในปัจจุบันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษาความสนใจและการตอบสนองของกลุ่มเป้าหมาย

ผลที่ตามมา: โฆษณาอาจสูญเสียความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย และการส่งโฆษณารูปแบบเดิมๆอาจจะกลายเป็นสร้างความรำคาญให้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ส่งผลให้ค่าโฆษณาแพงขึ้นอีกด้วย

ทางแก้ไข:

  • อัปเดตโฆษณาอยู่เสมอ เช่น การทำโฆษณาเฟซบุ๊ก ควรทำภาพโฆษณาครั้งละ 2-3 ภาพโฆษณาในการยิงแอดแต่ละครั้ง โดยแสดงโฆษณาพร้อมๆกัน และทำการเปลี่ยนภาพโฆษณาตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น โดยปิดโฆษณาตัวที่ไม่ดี และเพิ่มโฆษณาใหม่ๆเข้าไปอาทิตย์ละ 1 ครั้ง และเสริมด้วยการทำโฆษณาตามคอนเทนต์ของฤดูกาลและเทศกาล เช่น คริสต์มาส วันปีใหม่ สงกรานต์ เป็นต้น
  • ติดตามเทรนด์ใหม่ๆ และนำมาใช้ในแคมเปญ โดยทำโฆษณาที่มีเนื้อหาตามคอนเทนต์หรือเทรนด์ที่เป็นกระแสในช่วงเวลานั้นๆ โดยสร้างคอนเทนต์เชื่อมโยงมาที่สินค้า หรือบริการที่คุณต้องการนำเสนอ

ตัวอย่าง: หากเป็นช่วงปีใหม่ ลองใช้ธีมที่เกี่ยวกับการเริ่มต้นสิ่งใหม่ หรือหากเป็นช่วงเทศกาลลดราคา ควรใช้คำกระตุ้นให้รีบตัดสินใจ เช่น “ลดสูงสุด 50% เฉพาะวันนี้เท่านั้น!”


สรุป: ทำไมโฆษณาออนไลน์

การทำโฆษณาออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยทั้งการวางแผนที่ดี ความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย และการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสม ข้อผิดพลาดทั้ง 6 ข้อที่กล่าวมาเป็นเรื่องที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หากคุณใส่ใจและปรับปรุงกระบวนการทำงานให้เหมาะสม นอกจากนี้ การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในการทำโฆษณาออนไลน์ยังช่วยให้คุณมีแนวทางที่ดีในการบริหารแคมเปญโฆษณา ช่วยประหยัดงบประมาณที่อาจสูญเปล่าไปกับข้อผิดพลาดที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณนำไปปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา และพาธุรกิจของคุณไปสู่ความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้

ส่งข้อมูลถึงเรา

ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!

คุยกับเราทางไลน์

เพิ่มเพื่อน

ข้อมูลบริษัท

บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด 

79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240

เลขประจำตัวผู้เสียภาษี  0105556135494

Email: contact@smejump.com

Tel: 02-100-6872, 02-100-6873

LINE : @smejump

จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.

เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ