แนะนำ รูปแบบโฆษณา Google Ads 2025

4 รูปแบบโฆษณา Google Ads อัปเดตล่าสุด!

4 รูปแบบโฆษณา Google Ads อัปเดตล่าสุด!

ในปี 2025 การทำโฆษณาออนไลน์ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการเพิ่มยอดขายและสร้างการรับรู้แบรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Google Ads ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ตรงจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากประสบการณ์ของทีมงาน SMEJUMP บริษัทรับทำการตลาดออนไลน์ และ รับทำโฆษณา Google Ads บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้ 4 รูปแบบโฆษณา Google Ads ที่น่าสนใจในปี 2025 ซึ่งเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ในการทำการตลาดออนไลน์ด้วยแพลตฟอร์ม Google

1. Search Ads – รูปแบบโฆษณาที่นิยมใช้มากที่สุด

ช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังค้นหาสิ่งที่ต้องการ Search Ads หรือโฆษณารูปแบบข้อความแสดงบนหน้า Google Search ถือเป็นโฆษณาที่ธุรกิจนิยมใช้มากที่สุดในระบบ Google Ads โฆษณารูปแบบนี้เน้นการเพิ่มยอดขาย เนื่องจากโฆษณาจะไปแสดงในกลุ่มคนที่มีความต้องการและกำลังตัดสินใจซื้อ ทำให้อัตราการปิดการขายสูงกว่าโฆษณารูปแบบอื่นๆ ของ Google Ads ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงผู้ใช้งานในช่วงเวลาที่พวกเขามีความต้องการอย่างชัดเจน กำลังหาข้อมูลและเปรียบเทียบราคา เพื่อตัดสินใจซื้อ เช่น เมื่อผู้ใช้งานพิมพ์คำว่า “ซื้อสว่านไร้สาย” ลงใน Google คุณสามารถแสดงโฆษณาของคุณที่ตอบโจทย์ตรงกับความต้องการนี้ได้ทันที

ข้อดีของ Search Ads

– เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจสูง: เพราะการใช้คีย์เวิร์ดในการเจาะหากลุ่มเป้าหมาย ผู้ใช้งานที่ใช้คีย์เวิร์ดเหล่านั้น มักกำลังค้นหาสินค้าและอยู่ในช่วงตัดสินใจซื้อ
– การวัดผลชัดเจน: การทำโฆษณา Search Ads เพื่อให้วัดผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน ผู้เขียนแนะนำให้ติดตั้ง Conversion และเลือกใช้การนำเสนอราคาแบบคอนเวอร์ชั่น เพื่อให้ AI ของระบบ Google Ads เน้นการแสดงโฆษณาในกลุ่มคนที่มีโอกาสซื้อหรือทำคอนเวอร์ชั่นมากที่สุด และตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดผลลัพธ์ เช่น จำนวน Conversion, Conversion Rate และ Cost Per Conversion
– เหมาะสำหรับธุรกิจทุกประเภท: ถึงแม้ว่า Search Ads สามารถทำโฆษณาได้กับธุรกิจทุกประเภท แต่ถ้าเป็นสินค้าหรือบริการที่เฉพาะเจาะจง จะเหมาะกับการใช้ Search Ads มากที่สุด เพราะเมื่อลูกค้าต้องการสินค้าหรือบริการเหล่านี้ พวกเขามักจะค้นหาข้อมูลบน Google Search ตัวอย่างคีย์เวิร์ดของสินค้าหรือบริการ อาทิเช่น ปั๊มลมอุตสาหกรรม, บริการเปลี่ยนแบตเตอร์รี่รถยนต์นอกสถานที่, คลินิกเสริมความงามย่านรามคำแหง เป็นต้น

4 รูปแบบโฆษณา Google Ads อัปเดตล่าสุด!

โฆษณา Search Ads

เคล็ดลับสำหรับการใช้งานในปี 2025

1. เพิ่มประสิทธิภาพด้วยคีย์เวิร์ดเฉพาะเจาะจง (Long-Tail Keywords): เนื่องจากในปีนี้การแข่งขันโฆษณาบน Search Ads มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นการเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น หรือที่เรียกว่า Long-Tail Keywords เป็นสิ่งที่แนะนำ เพื่อเลี่ยงการแข่งขันในคีย์เวิร์ดยอดนิยม และยังสามารถเจาะหาลูกค้าที่ต้องการซื้อได้ตรงมากขึ้น ตัวอย่างของการใช้คีย์เวิร์ดแบบ Long-Tail Keywords เช่น ขายกล้อง sony fx30, ขายคอนโดล้านต้น รามคำแหง, บริการกำจัดปลวกแบบปลอดสารพิษ เป็นต้น
2. ใช้ Dynamic Search Ads (DSA): ฟีเจอร์ Google Ads นี้จะใช้ AI ของระบบโฆษณาช่วยคิดคีย์เวิร์ด และสร้างโฆษณาไปแสดงให้คุณแบบอัตโนมัติ โดยระบบโฆษณาจะเรียนรู้จากเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งจะทำให้การใช้คีย์เวิร์ด และการแสดงโฆษณาครอบคลุมได้กว้างมากกว่า อย่างไรก็ตามฟีเจอร์นี้เหมาะกับแคมเปญที่มีการนำเสนอแบบคอนเวอร์ชั่น เพื่อใช้คอนเวอร์ชั่นเป็นตัวควบคุมการแสดงโฆษณา
3. ขยายผลด้วยส่วนขยายโฆษณา (Assets): เช่น Sitelinks, Call, Call Out, Image หรือ Location เพื่อแสดงข้อมูลบนโฆษณามากขึ้น ดึงดูดความสนใจได้มากกว่า การแสงโฆษณาแบบข้อความปกติ ผู้เขียนแนะนำให้เลือกใช้อย่างน้อย 3-4 Assets ในแคมเปญโฆษณา

2. Performance Max + Search Ads – กลยุทธ์ “Power Pair” ที่ผสานความสามารถของสองโฆษณานี้เข้าด้วยกัน

Performance Max เป็นโฆษณาที่ Google ใช้ AI และ Machine Learning ในการช่วยปรับปรุงผลลัพธ์จากแคมเปญ โดยการรวมข้อมูลและการแสดงผลในทุกช่องทาง เช่น YouTube, Gmail, Display Network และ Google Maps โฆษณารูปแบบนี้กำลังเป็นที่นิยมในการทำโฆษณาเสริมควบคู่กับ Search Ads โดยเฉพาะทำเสริมกับแคมเปญที่นำส่งโฆษณาแบบคอนเวอร์ชั่น เมื่อผสานเข้ากับ Search Ads คุณจะได้รับผลลัพธ์ที่ทรงพลังยิ่งขึ้น การทำแคมเปญ 2 รูปแบบนี้ควบคู่กัน เรียกว่า Power Pair

จุดเด่นของ Performance Max + Search Ads

– การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลายแพลตฟอร์มพร้อมกัน: แคมเปญนี้จะนำส่งโฆษณาไปแสดงในหลายแพลตฟอร์ม ดังนั้นนอกจากจะใช้เพื่อการเพิ่มยอดขายหรือจำนวนคอนเวอร์ชั่นแล้ว การใช้ Performance Max ยังใช้ในสร้างการจดจำแบรนด์ คุณสามารถแสดงโฆษณาทั้งแบบ ข้อความ, รูปภาพ และวิดีโอ
– โฆษณารูปแบบนี้ใช้ AI ในการวิเคราะห์ผลลัพธ์ คิดกลุ่มเป้าหมาย และนำส่งโฆษณา: ดังนั้น Performance Max สามารถเพิ่มจำนวนคอนเวอร์ชั่นได้มากขึ้น และทำให้ต้นทุนต่อคอนเวอร์ชั่นลดลง

4 รูปแบบโฆษณา Google Ads อัปเดตล่าสุด

Performance Max

วิธีใช้ให้ได้ผลในปี 2025

1. ใช้ Conversion Goals ที่ชัดเจน: เนื่องจาก Performance Max เน้นไปที่การสร้างคอนเวอร์ชั่น ดังนั้นคุณต้องเลือกเป้าหมายของคอนเวอร์ชั่นให้ชัดเจน เช่น การกรอกฟอร์ม การซื้อสินค้า หรือการคลิกที่ปุ่ม LINE เป็นต้น
2. สร้างโฆษณาแบบหลากหลาย (Creative Assets): Performance Max รองรับรูปตัวโฆษณาที่หลากหลาย ดังนั้นคุณควรใช้ตัวโฆษณาทุกรูปแบบ ทั้งแบบข้อความ, รูปภาพ และวิดีโอ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ AI เลือกโฆษณาที่เหมาะสมที่สุด
3. ปรับงบประมาณตาม ROI: โฆษณารูปแบบนี้สามารถวัดคอนเวอร์ชั่น และต้นทุนต้อคอนเวอร์ชั่นได้ คุณสามารถกำหนดตัวชี้วัดประสิทธิภาพของโฆษณา เพื่อประเมินความคุ้มค่าของการใช้งบโฆษณา และอาจจะใช้เครื่องมือ Google Analytics เข้ามาช่วยเสริมเพื่อดูข้อมูลเชิงลึก

3. GDN (Google Display Network) + Remarketing – วิธีสร้างการจดจำแบรนด์และกระตุ้นลูกค้าที่เคยเข้ามาดูสินค้า/บริการของคุณ

Google Display Network (GDN) เป็นรูปแบบโฆษณาที่สามารถแสดงบนเว็บไซต์พันธมิตรได้หลายสิบเว็บไซต์ภายในแคมเปญโฆษณาเดียว ซึ่งจริงๆแล้วเครือข่ายโฆษณา GDNครอบคลุมเว็บไซต์มากกว่า 2 ล้านเว็บไซต์ทั่วโลก และยังรวมแอปพลิเคชันบนมือถืออีกด้วย เว็บไซต์ยอดนิยมของไทยเกือบทั้งหมดอยู่ในเครือข่าย GDN เช่น ไทยรัฐ เดลินิวส์ มติชน sanook.com และ settrade.com เป็นต้น

กลยุทธ์ Google Ads ที่แนะนำคือ เลือกการทำโฆษณา GDN โดยเลือกกลุ่มเป้าหมายเป็น Remarketing ซึ่งเป็นการติดตามผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ เพื่อนำเสนอโฆษณาหรือคอนเทนต์เชิงลึกซ้ำในกลุ่มคนเหล่ายนี้ เพื่อดึงพวกเขากลับมาสร้างโอกาสในการขายได้อีกครั้ง

ประโยชน์ของ GDN + Remarketing

– เพิ่มการจดจำแบรนด์: โฆษณา GDN เป็นการนำเสนอข้อมูลด้วย รูปภาพและวิดีโอ ดังนั้นสามารถนำมาใช้ในการสร้างแบรนด์ให้ถูกจดจำ ผ่านการแสดงโฆษณาบนเว็บไซต์หรือแอปที่เกี่ยวข้อง
– กระตุ้นลูกค้าที่ลังเล: โดยใช้การทำ Remarketing และนำเสนอข้อเสนอพิเศษ เช่น ส่วนลดหรือโปรโมชั่น กลุ่มคนที่ถูก Remarketing คือกลุ่มคนที่กำลังตัดสินใจซื้อ เพราะเคยเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณ ดังนั้นการทำ Remarketing จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของกลุ่มลูกค้าเหล่านี้
– ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่อคลิกต่ำ: ค่าโฆษณา GDN จะถูกคิดในรูปแบบ Pay Per Click ผู้ลงโฆษณาจะเสียค่าโฆษณาต่อเมื่อมีคนคลิกที่ข้อความโฆษณาของคุณ และเมื่อเทียบต้นทุนต่อการคลิกแล้ว โฆษณา GDN มีต้นทุนที่ต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับโฆษณาประเภทอื่นๆในระบบ Google Ads

4 รูปแบบโฆษณา Google Ads อัปเดตล่าสุด

Google Display Network (GDN)

กลยุทธ์สำหรับปี 2025

1. สร้างภาพโฆษณาที่โดดเด่น (Visual Ads): ปัจจัยความสำเร็จของโฆษณา GDN คือการสร้างภาพโฆษณาที่โดดเด่น และสื่อถึงสิ่งที่คุณต้องการได้ชัดเจน เพราะโฆษณารูปแบบนี้อัตราการคลิกต่ำ คนส่วนใหญ่ดูและอ่านข้อความบนโฆษณาเพียงอย่างเดียว ดังนั้นภาพโฆษณาที่ใช้จะต้องโดดเด่น ง่ายต่อการเข้าใจ
2. ปรับ Targeting ตามพฤติกรรมผู้ใช้งาน: คุณควรปรับใช้การทำคอนเวอร์ชั่นในหลายระดับ เพื่อติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้งาน และนำมาต่อยอดด้วยการทำ Remarketing เช่น นอกจากจะทำคอนเวอร์มือมีผู้ซื้อ ชำระเงินสำเร็จแล้ว คุณควรทำคอนเวอร์ในทุกขั้นตอนก่อนชำระเงินอีกด้วย ผู้ที่หยุดดูหน้าชำระเงินแต่ยังไม่ได้ซื้อ, ผู้ที่ใส่ของในตะกร้าเรียบร้อย หรือผู้ที่คลิกแค่ปุ่ม LINE เพียงอย่างเดียว

4. Google Map Ads – โฆษณาที่ช่วยดึงลูกค้าในพื้นที่เข้ามาสู่ธุรกิจของคุณ

ในยุคที่คนไทยนิยมใช้ Google Map เพิ่มมากขึ้น นอกจากการใช้เพื่อบอกเส้นทางแล้ว หลายคนใช้ Google Map ในการตัดสินใจเลือกร้านอาหาร ที่พัก และจุดท่องเที่ยวต่างๆ ทำให้ Google Map Ads กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจในพื้นที่ เช่น ร้านอาหาร คาเฟ่ หรือร้านค้าปลีก การแสดงโฆษณาบน Google Map เป็นสิ่งที่หลายร้านค้าต้องการ แต่ไม่รู้วิธีการลงโฆษณา หากธุรกิจของคุณปรากฏบนแผนที่ในช่วงเวลาที่ลูกค้ากำลังค้นหา ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงลูกค้าเข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นท่ามกลางคู่แข่งที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน

วิธีทำโฆษณาบน Google Map
  1. การทำโฆษณาบน Google Map สามารถทำได้โดยการสร้างแคมเปญ Google Ads แบบปกติ
  2. เลือกวัตถุประสงค์ “การเข้าชมร้านค้าและการโปรโมชั่นในพื้นที่”
  3. เลือกสร้างแคมเปญโฆษณารูปแบบ Performance Max
  4. ทำการเชื่อมบัญชี Google My Business ของคุณ กับบัญชี Google Ads ในขั้นตอนนี้เพื่อเลือกหมุดร้านค้าที่คุณปักไว้ในบัญชี Google My Business
  5. ทำการสร้างแคมเปญโฆษณา Performance Max เหมือนปกติ โดยใช้ตัวโฆษณาที่หลากหลาย เช่น ข้อความ, รูปภาพ, วิดีโอ
ความสำคัญของ Google Map Ads

– เพิ่มการเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่: ช่วยให้ธุรกิจของคุณแสดงในผลการค้นหา กับผู้ใช้ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับร้านค้าของคุณ
– กระตุ้นการตัดสินใจในทันที: การแสดงร้านค้าใน Google Map ทำให้เพิ่มโอกาสที่ลูกค้าตัดสินใจเลือกร้านของคุณ เพราะลูกค้าได้เห็น เส้นทางไปยังร้าน หรือ ช่องทางในการติดต่อ อย่างชัดเจน
– เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการยอดขายในพื้นที่: ในกรณีที่คุณต้องการแสดงร้านของคุณในพื้นที่ที่ไกลออกไป การทำโฆษณาบน Google Map สามารถช่วยได้ โดยปักหมุดการแสดงโฆษณาให้กว้างมากขึ้น

เคล็ดลับการใช้งานในปี 2025

1. อัปเดตข้อมูล Google My Business: การแสดงข้อมูลครบถ้วน ชัดเจน ช่วยทำให้ลูกค้ารู้สึกเชื่อมั่นในธุรกิจของคุณ และช่วยให้ลูกค้าติดต่อเข้ามาได้ง่ายมากขึ้น ข้อมูลธุรกิจ เช่น เบอร์โทร, เวลาเปิด-ปิด, สิ่งอำนวนความสะดวกต่าง และรีวิว
2. ใช้คำหลักที่เน้นพื้นที่ (Local Keywords): เทคนิคในการเลือกคำแสดงโฆษณา ควรเพิ่มคำที่เกี่ยวกับพื้นที่ลงไปในคีย์เวิร์ด ตัวอย่างคำเช่น  “ร้านกาแฟใกล้ฉัน” หรือ “ซ่อมแอร์ในกรุงเทพ”

สรุป: 4 รูปแบบโฆษณา Google Ads อัปเดตล่าสุด!

การโฆษณาผ่าน Google Ads ในปี 2025 ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างยั่งยืน เราแนะนำ 4 รูปแบบโฆษณาของ Google Ads ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังช่วยสร้างการจดจำแบรนด์สำหรับการทำการตลาดในระยาวอีกด้วย

– หากคุณต้องการเน้นการเพิ่มยอดขาย เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในช่วงเวลาที่พวกเขามีความต้องการ ให้ใช้ Search Ads
– หากต้องการ Scale Up เพิ่มยอดขาย เพิ่มผลลัพธ์คอนเวอร์ชั่น ให้ใช้ Performance Max + Search Ads
– การสร้างการจดจำแบรนด์และกระตุ้นลูกค้าเดิม ลองใช้ GDN + Remarketing
– หากคุณมีธุรกิจในพื้นที่ Google Map Ads คือทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม โดยทำโฆษณาด้วย Performance Max แต่เลือกวัตถุประสงค์ “การเข้าชมร้านค้าและการโปรโมชั่นในพื้นที่”

เมื่อคุณเข้าใจและเลือกใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างถูกต้อง จะช่วยให้คุณสามารถสร้างกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ในฝั่ง Google ที่ตอบโจทย์และสามารถช่วยธุรกิจของคุณ ก้าวเข้าสู่ความสำเร็จในปี 2025 อย่างแน่นอน

ส่งข้อมูลถึงเรา

ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!

คุยกับเราทางไลน์

เพิ่มเพื่อน

ข้อมูลบริษัท

บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด 

79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240

เลขประจำตัวผู้เสียภาษี  0105556135494

Email: contact@smejump.com

Tel: 02-100-6872, 02-100-6873

LINE : @smejump

จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.

เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ