เตรียมพร้อมก่อน 5 แนวทางทำโฆษณา Google Ads 2025
แนวทางทำโฆษณา Google Ads 2025 แบบไหนที่ควรไปต่อ?
ทำโฆษณา Google Ads 2025 : แนวทางใหม่เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
การทำโฆษณา Google Ads 2025 ได้พัฒนาไปไกล โดยมีฟีเจอร์ใหม่ๆ และแนวทางการใช้ที่เน้นประสิทธิภาพมากขึ้น การรู้จักใช้เทคนิคเหล่านี้อย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย สร้าง Conversion ได้สูงขึ้น และช่วยให้ค่าโฆษณาต่ำลง บทความนี้นำเสนอแนวทางการทำ Google Ads จากประสบการณ์ของ SMEJUMP ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการรับทำโฆษณา Google Ads มากกว่า 10 ปี โดยจะครอบคลุมทั้งฟีเจอร์ใหม่และแนวทางพื้นฐานที่ยังได้ผล เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ทำโฆษณาบน Google Ads ในการปรับปรุงแคมเปญให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในปี 2025
1. ใช้ Bid Strategy แบบ Conversion ร่วมกับคีย์เวิร์ดแบบ Broad Match
ในปีนี้การใช้ Conversion-based Bid Strategy หรือการตั้งค่าราคาเสนอเพื่อเพิ่ม Conversion ได้กลายมาเป็นแนวทางหลัก จากการอัปเดตข้อมูลกับทีมงาน Google Ads พบว่าระบบ AI ของ Google Ads มีการพัฒนาไปอย่างมาก การใช้กลยุทธ์นี้ร่วมกับคีย์เวิร์ดแบบ Broad Match ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ช่วยให้ระบบ AI ของ Google สามารถเรียนรู้และขยายคำค้นหาเพิ่มเติมได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
ทำไมถึงควรใช้ Conversion-based Bid Strategy กับ Broad Match?
การใช้ Broad Match ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเลือกคำค้นหาทั่วไปแบบไม่เจาะจง แต่คือการให้ระบบ AI ของ Google ขยายคำค้นหาไปยังคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ที่มีโอกาสทำ Conversion สูง
ตัวอย่างเช่น หากคุณขายอุปกรณ์ออกกำลังกาย การใช้คีย์เวิร์ด Broad Match จะช่วยให้โฆษณาแสดงให้กับคนที่ค้นหาคำว่า “อุปกรณ์ฟิตเนส” หรือ “เสื้อผ้าออกกำลังกาย” ซึ่งมีโอกาสที่พวกเขาจะสนใจสินค้าโดยตรงและทำให้เกิดการซื้อขายได้มากขึ้น
นอกจากนี้ Broad Match ยังช่วยให้ระบบ AI ค้นหาคำที่ไม่ตรงตัวแต่มีความเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้พิจารณาถึงสินค้าแต่มีโอกาสสูงที่จะเกิด Conversion
อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอยังเป็นกิจกรรมที่ต้องทำ โดยเฉพาะการตรวจสอบ Search Term หรือข้อความค้นหา เพื่อให้มั่นใจว่าคำค้นหาที่เข้ามาซึ่ง Google Ads เปิดให้เข้าแบบกว้าง ยังอยู่ในกลุ่มคำที่มีความน่าจะเป็นที่จะเป็นลูกค้า โดยคุณอาจจะต้องทำ Negative Keyword ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์นี้ วิธีนี้สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายตลาดไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่ และเปิดโอกาสให้โฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
2. ใช้แคมเปญ Performance Max Campaign ร่วมกับ Broad Match – “Power Pair”
Performance Max Campaign*เป็นเทคนิคใหม่ที่ได้รับความนิยมในปี 2025 ซึ่งการใช้งานคู่กับ Broad Match เรียกได้ว่าเป็นการทำ **Power Pair** ที่จะช่วยให้แคมเปญไปได้ไกลยิ่งขึ้น Performance Max Campaign สามารถกระจายโฆษณาไปยังทุกช่องทางของ Google ไม่ว่าจะเป็น Google Search, Display, YouTube, Gmail และ Google Maps ซึ่งทำให้ครอบคลุมช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้าได้มากขึ้น
ข้อดีของ Performance Max Campaign และ Broad Match
ด้วย **AI ของ Google Ads** ที่สามารถวิเคราะห์และเลือกช่องทางที่เหมาะสมได้อัตโนมัติ Performance Max สามารถสร้างจำนวนคอนเวอร์ชั่นได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม คุณควรกำหนดคอนเวอร์ชั่นให้ชัดเจนเพื่อทำให้คอนเวอร์ชั่นที่ได้มีคุณภาพ และยังสามารถค่อยๆ ปรับกลยุทธ์ตามข้อมูลที่ได้รับอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าโฆษณาต่อ Conversion ต่ำลง และประหยัดเวลาในการปรับแต่งแคมเปญด้วยตัวเอง ดังนั้นการใช้ Power Pair จึงเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ Google Ads ของตนสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายได้อย่างเต็มที่
หมายเหตุ: ถ้ากำหนดคอนเวอร์ชั่นเป็นการคลิกปุ่ม ดูเหมือนคอนเวอร์ชั่นที่ได้มาจะมีคุณภาพลดลง ถึงแม้จะได้จำนวนคอนเวอร์ชั่นที่มากก็ตาม
3. ใช้ฟีเจอร์ Auto Recommendations ใน Google Ads
ฟีเจอร์ Auto Recommendations เป็นอีกเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การจัดการแคมเปญโฆษณาง่ายขึ้น ระบบจะแนะนำการปรับแต่งแคมเปญ เช่น การปรับข้อความโฆษณา แนะนำคีย์เวิร์ดใหม่ ไปจนถึงการแนะนำงบโฆษณาให้เหมาะสมกับแนวโน้มของกลุ่มเป้าหมายแบบเรียลไทม์
จากที่กล่าวด้านต้น AI ของระบบ Google Ads มีการพัฒนาไปอย่างมาก ดังนั้นคุณสามารถมั่นใจในคำแนะนำที่ระบบแนะนำเข้ามาในการปรับปรุงแคมเปญโฆษณา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างการใช้ Auto Recommendations
ตัวอย่างเช่น หากระบบพบว่ามีการเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้นในช่วงวันหยุด ระบบอาจแนะนำให้เราเพิ่มงบโฆษณาเพื่อให้โฆษณาของเรายังคงแสดงอยู่ในช่วงเวลาที่คนเข้ามากที่สุด หรือแนะนำให้ปรับข้อความโฆษณาให้ตรงกับเทศกาลหรือโปรโมชั่นพิเศษ
ฟีเจอร์นี้จะช่วยประหยัดเวลาในการปรับแต่งแคมเปญ ทำให้คุณมีเวลามากขึ้นในการวิเคราะห์ข้อมูลภาพรวมและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ อย่างไรก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้องทำตามคำแนะนำทุกข้อที่ระบบเสนอ เลือกทำเฉพาะคำแนะนำที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้สอดคล้องกับเป้าหมายและแนวทางการดำเนินงานของคุณมากที่สุด
4. เพิ่มการเข้าถึง Top Funnel ด้วยแคมเปญ Demand Gen
การเข้าถึงกลุ่ม Top Funnel เป็นส่วนสำคัญของการตลาดเจาะหาลูกค้าใหม่ กลุ่ม Top Funnel คือกลุ่มคนที่อาจจะไม่เคยเห็นหรือรู้จักสินค้าของคุณมาก่อน และยังไม่มีแผนการซื้อในเวลานี้ แต่เป็นกลุ่มคนใน customer persona ที่คุณต้องการให้เกิดการรับรู้ถึงแบรนด์ แคมเปญแบบ Demand Gen จึงเข้ามาช่วยในการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ได้มีการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการทันที
Demand Gen ช่วยอย่างไรกับ Top Funnel?
โฆษณา Demand Gen จะเน้นการสร้างการรับรู้ในรูปแบบของคอนเทนต์ เช่น วิดีโอแนะนำสินค้า หรือบทความที่มีประโยชน์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ถึงแบรนด์และความเป็นเอกลักษณ์ของสินค้า ตำแหน่งโฆษณาที่ Demand Gen ไปแสดงมีความพิเศษและพรีเมี่ยมกว่าโฆษณาในรูปแบบ Display ทั่วไป เช่น การแสดงบน Discover ฟีดในแอพ Google Search ซึ่งช่วยให้เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ที่แตกต่างจากผู้ที่เข้าเว็บไซต์ทั่วไป
ยิ่งไปกว่านั้น แคมเปญนี้สามารถกระจายโฆษณาไปยัง YouTube, Discovery และ Gmail ทำให้มีโอกาสดึงดูดกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่แรกเห็น ช่วยสร้างฐานข้อมูลของผู้สนใจและสามารถใช้ทำ Remarketing ได้ในอนาคตเมื่อพวกเขาพร้อมตัดสินใจซื้อจริง
การใช้ Demand Gen จะช่วยเก็บข้อมูลเกี่ยวกับความสนใจของลูกค้าในระยะยาว เป็นการปูพื้นฐานที่ดีสำหรับการสร้างยอดขายและสร้างการจดจำแบรนด์ในระยะยาวด้วยเช่นกัน
5. ทำ SEO บนคีย์เวิร์ดหลักๆ เพื่อเสริมประสิทธิภาพของ Google Ads
ในยุคที่การแข่งขันทางออนไลน์สูง การทำ **SEO** ควบคู่กับ Google Ads นอกจากจะช่วยเพิ่ม **Quality Score** ยังทำให้ค่าโฆษณาต่ำลงอีกด้วย เพราะเมื่อหน้าเว็บของคุณถูกจัดอันดับที่ดี Google จะลดค่าโฆษณาที่ต้องจ่ายต่อคลิกลงเนื่องจากคุณภาพของหน้า Landing Page ที่สอดคล้องกับคำค้นหาของผู้ใช้งาน
ทำไม SEO ถึงสำคัญกับ Google Ads?
การทำ SEO ที่ดีช่วยให้ Google จัดอันดับหน้าเว็บของคุณดีขึ้นในผลการค้นหาแบบ Organic ทำให้ลูกค้าพบเห็นแบรนด์ของคุณได้มากขึ้นทั้งในแบบฟรีและแบบจ่ายค่าโฆษณา และในบางครั้งอาจทำให้ลูกค้าคลิกเข้ามาโดยไม่ต้องผ่านโฆษณาเลย ลดค่าใช้จ่ายในการทำ Google Ads ได้ในระยะยาว นอกจากนี้ การทำ SEO ยังมีโอกาสทำให้เกิด GEO หรือ Generative Engine Optimization ที่อาจจะส่งผลให้คอนเทนต์ของคุณถูกนำไปแสดงบน GenAI อีกด้วย
สรุป: ทำโฆษณา Google Ads 2025
การทำโฆษณา Google Ads 2025 ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบและเครื่องมือใหม่ๆ ที่ช่วยให้การตลาดดิจิทัลมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Conversion-based Bid Strategy ร่วมกับ Broad Match การทำ Power Pair ด้วยแคมเปญ Performance Max การใช้ Auto Recommendations ในการปรับแต่งแคมเปญอัตโนมัติ รวมถึงการใช้ Demand Gen เพื่อสร้างการรับรู้ในระยะยาว และกลยุทธ์ดังเดิม แต่ทำแล้วได้ประโยชน์มากกว่าในอดีตที่ผ่านมา นั้นก็คือ การทำ SEO ควบคู่เพื่อช่วยลดค่าโฆษณา
แนวทางเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถปรับกลยุทธ์การทำ Google Ads ให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงในยุคใหม่ที่ AI มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น สร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าและเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายได้มากขึ้น ลองนำแนวทางเหล่านี้ไปปรับใช้ดู แล้วแคมเปญโฆษณาของคุณจะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นอย่างแน่นอน
ส่งข้อมูลถึงเรา
ติดต่อขอข้อมูล และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ สำหรับธุรกิจของคุณได้ฟรี!
คุยกับเราทางไลน์
ข้อมูลบริษัท
บริษัท เอส เอ็ม อี จัมพ์ จำกัด
79/355 ถ.รามคำแหง 150 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพ 10240
เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 0105556135494
Email: contact@smejump.com
Tel: 02-100-6872, 02-100-6873
LINE : @smejump
จันทร์ – ศุกร์ : 8:30-17:30 น.
เสาร์-อาทิตย์: ปิดทำการ